@Copyright 2016 สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เขต 12 สงขลา
อาคารสยามนครินทร์ คอมเพล็กซ์ (ชั้น ๓) ๔๘๘/๘๘ ถนนเพชรเกษม อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ๙๐๑๑๐ โทรศัพท์ ๐ ๗๔๒๓ ๓๘๘๘ โทรสาร ๐ ๗๔๒๓ ๕๔๙๔
Powered by M&E Health Promotion Consult, Co.,Ltd.. Designed by SoftGanz Group
ปีที่เริ่มวิจัย
เริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2553
ศูนย์การศึกษาพัฒนาฯ
ห้วยฮ่องไคร้อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.เชียงใหม่
ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา
ภัยจากไฟป่าที่เกิดขึ้นในประเทศไทย มักพบในช่วงระหว่างเดือนธันวาคมถึงเดือนพฤษภาคม
เนื่องจากในช่วงดังกล่าวอากาศแห้งแล้งที่ปกคลุมประเทศไทยส่งผลให้อุณหภูมิเฉลี่ยโดยทั่วไปสูงขึ้น ลักษณะเช่นนี้จะทำให้ความชื้นที่สะสมอยู่ในบริเวณพื้นที่ป่าไม้ลดลง มีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดไฟป่าได้มากขึ้น ประกอบกับมีการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศป่าไม้ ซึ่งมีสาเหตุจากการประกอบอาชีพหาของป่า ล่าสัตว์ การทำเกษตรกรรมใกล้พื้นที่ป่า เช่น การเผากำจัดวัชพืชเพื่อเตรียมพื้นที่เพาะปลูกและ การเผาหญ้าเพื่อให้แตกใบอ่อนเป็นอาหารสัตว์ การเผาป่าเพื่อการลักลอบตัดไม้ จากการสำรวจ ในปี 2549 พบว่าประเทศไทยมี ป่าไม้ทั้งสิ้น
99,157,868.75 ไร่ ของพื้นที่ประเทศไทยทั้งหมด การสูญเสียพื้นที่ป่าไม้จากการถูกไฟป่าทำลายทั้งสิ้น 53,885 ไร่ จากพื้นที่ป่าไม้ทั่วประเทศ ซึ่งก่อให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจปีละหลายพันล้านบาท
จากปัญหาหมอกควันพิษจากการเผาที่เกิดกับ 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน ได้แก่ เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน พะเยา เชียงราย และแม่ฮ่องสอน มีหลายสาเหตุ ตั้งแต่การเกิดไฟป่าจากความแห้งแล้งและความร้อนตามธรรมชาติ การหาของป่าที่ทำให้เกิดไฟป่าทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ
และการเผาเศษพืชเหลือทิ้งทางการเกษตร ซึ่งการเผาแต่ละครั้งจะทำให้เกิดฝุ่นละอองขนาดเล็กแขวนลอยสะสมในอากาศ และในเดือนมีนาคมของทุกปีค่าฝุ่นละอองขนาดเล็กแขวนลอยสะสมในอากาศ และในเดือนมีนาคมของทุกปีค่าฝุ่นละอองขนาดเล็กเหล่านี้ก็จะเกิดเป็นปัญหาหมอกควันพิษที่ก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพของประชาชน ได้ก่อให้เกิดผลเสียต่อประเทศชาติเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการสูญเสียด้านเศรษฐกิจ เพราะประเทศต้องสูญเสียค่ารักษาพยาบาลให้แก่ประชาชนที่ล้มป่วยด้วยโรคทางเดินหายใจและภูมิแพ้ที่เกิดจากอนุภาคฝุ่นละอองในหมอกควันพิษ
และยังทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศเสียหาย อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวได้รับ
ปัจจุบันมลพิษทางอากาศเป็นปัญหาสำคัญของจังหวัดเชียงใหม่ ในรอบปี เดือนกุมภาพันธ์มีช่วงความถี่ของการเกิดหมอกควันมากที่สุด ปัญหาดังกล่าวนับวันจะทวีความรุนแรงขึ้น สาเหตุประการหนึ่งเกิดจากการเผาใบไม้เพราะฤดูแล้งใบไม้ร่วงหล่นทับถมกันมากและกระจัดกระจายตามพื้นที่ต่างๆ การเก็บใบไม้หนีไฟเป็นการหลีกเลี่ยงและลดการเผา หากนำใบไม้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ เกิดคุณค่าและเพิ่มมูลค่า
จะช่วยสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนในพื้นที่ลุ่มน้ำด้านการจัดการทรัพยากรใบไม้เป็นชีวมวลที่มีความสำคัญต่อปัจจัยการผลิตพืชในรูปวัสดุปลูกหรือปุ๋ยหมัก วิธีการเก็บใบไม้ให้ย่อยสลายเองตามธรรมชาติหรือผ่านกระบวนการทำปุ๋ยหมัก เป็นขั้นตอนหนึ่งของการผลิตเป็นวัสดุปลูกหรือปุ๋ยหมักใบไม้คุณภาพดี สำหรับใช้ผลิตผักปลอดภัยจากสารเคมี หรือ ผักอินทรีย์ เพื่อลดต้นทุนการซื้อปุ๋ยเคมี ซึ่งมีราคาแพง เมื่อได้วัสดุปลูกหรือปุ๋ยหมักใบไม้ จึงนำมาศึกษาทดลองการตอบสนองต่อปุ๋ยหมักใบไม้กับพืชผัก
โดยใช้กะหล่ำปลีเป็นพืชทดลอง และนำผลการทดลองที่ได้ผลลัพธ์แล้ว สร้างเป็นแหล่งเรียนรู้ สาธิต จัดแสดงเป็นพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติด้านการผลิตพืชอินทรีย์ในศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้อันเนื่องมาจากพระราชดำริ และขยายผลสู่ชุมชน พัฒนาผลลัพธ์ดังกล่าวเป็นต้นแบบของการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศ และการใช้ประโยชน์ที่เชื่อมโยง และบูรณาการในพื้นที่ลุ่มน้ำต่อไป
ในการทำวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยมีความสนใจที่จะมุ่งศึกษาถึงการวิธีการเก็บใบไม่เพื่อนำมาทำปุ๋ยหมัก
และประสิทธิภาพของปุ๋ยหมักใบไม่ในแต่ล่ะสูตร ต่อการเจริญเติบโตของผลิตผลิตทางการเกษตร (กะหล่ำปลี) ตลอดจนปัญหาและข้อเสนอแนะของของการวิจัยครั้งนี้เพื่อถ่ายถอดแก่ประชาชนที่สนใจและผู้ที่จะทำการวิจัยสามาเอาไปเป็นตัวอย่างและทำการการต่อยอดงานวิจัยต่อไป
วัตถุประสงค์ของโครงการ
การศึกษาการการจัดการใบไม้เพื่อลดมลพิษทางอากาศช่วงวิจัยพัฒนาต้นแบบฤดูแล้งในเขตพื้นที่ลุ่ม มีวัตถุประสงค์การวิจัย ดังนี้
1. เพื่อศึกษาวิธีการเก็บใบไม้หนีไฟก่อนวิกฤตมลพิษทางอากาศเดือนกุมภาพันธ์
2. เพื่อศึกษาวิธีการหมักใบไม้เป็นวัสดุปลูกพืช
3. เพื่อศึกษาการตอบสนองต่อปุ๋ยหมักใบไม้ในแต่ละสูตรของกะหล่ำปลี
วิธีดำเนินการ
ในการศึกษาครั้งนี้ เป็นการศึกษาถึงวิธีการเก็บใบไม้เพื่อลดการเกิดไฟป่า ซึ่งก่อให้เกิดมลพิษช่วงเดือนกุมภาพันธ์ และกรรมวิธีการหมักใบไม้ให้เป็นวัสดุปลูก
และประสิทธิภาพของการนำไปใช้ประโยชน์ โดยผู้ศึกษาได้กำหนดวิธีการวิจัย ดังนี้
สถานที่ดำเนินการวิจัย
ในการวิจัยครั้งนี้ดำเนินการในเขตพื้นที่ของกลุ่มงานศึกษา และพัฒนาการปลูกพืชศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้อันเนื่องมาจากพระราชดำริ
การวิเคราะห์ข้อมูล
การวิเคราะห์ข้อมูลในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยนำข้อมูลที่รวบรวมได้จากการจดบันทึกนำมาจัดหมวดหมู่
และวิเคราะห์ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยใช้โปรแกรมสถิติสำเร็จรูป
ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย
การศึกษาครั้งนี้ใช้ระยะเวลา 3 ปี เริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2553 ถึง เดือนเมษายน 2555
ได้ทำการศึกษาวิธีการเก็บใบไม้หนีไฟก่อนวิกฤตมลพิษทางอากาศเดือนกุมภาพันธ์ โดยดำเนินการตามขั้นตอนการวิจัยแบบ CRD จำนวน 4 ซ้ำ มีกรรมวิธีการเก็บ 3 กรรมวิธี คือ
1. การศึกษาวิธีการเก็บใบไม้หนีไฟก่อนวิกฤตมลพิษทางอากาศ
เดือนกุมภาพันธ์
ขั้นตอนวิธีการดำเนินงานการวิจัย วางแผนการทดลองแบบ CRD จำนวน 4 ซ้ำ มีกรรมวิธีการเก็บ 3 กรรมวิธี คือ การเก็บแบบอัดก้อน การเก็บแบบใส่ในถุงดำ และการเก็บในคอกไม้ไผ่
บันทึกข้อมูล
1. ชนิดใบไม้
2. ต้นทุนการเก็บใบไม้
3. บันทึกภาพ
4. ชั่งน้ำหนักปุ๋ย
5. สถิติน้ำฝน
6. วัดอุณหภูมิ
7. วิเคราะห์ตัวอย่างธาตุอาหาร
2. การศึกษาวิธีการหมักใบไม้เป็นวัสดุปลูกพืช
ขั้นตอนวิธีการดำเนินงานการวิจัย วางแผนการทดลองแบบ CRD
จำนวน 4 ซ้ำ มีกรรมวิธีการเก็บ 3 กรรมวิธี คือ การหมักอัดก้อนใบไม้ การหมักในถุงดำ และการหมักแบบในคอกไม้ไผ่ (วิธีการเก็บใบไม้เหมือนขั้นตอนที่ 1) ทั้ง 3 วิธีนี้อัตราการใช้ใบไม้ในการหมัก 100 กิโลกรัม โดยปล่อยให้ย่อยสลายเองตามธรรมชาติ บันทึกสถิติน้ำฝน อุณหภูมิ อุณหภูมิกองปุ๋ยทุก 7 วัน ระยะเวลาการย่อยสลาย บันทึกภาพ ชั่งน้ำหนักวัสดุปลูก นำใบไม้วิเคราะห์ตัวอย่างธาตุอาหาร วิเคราะห์ สรุปผล
3.
การศึกษาวิธีการผลิตปุ๋ยหมักให้ได้คุณภาพ
ในขั้นตอนนี้ การทดลองที่ 2 จะเป็นตัว Control ในขั้นตอนนี้ ทำการทดลองแบบ RCBD ซ้ำ 3 กรรมวิธี
สูตรที่ 1 T1 ใบไม้ 100 กิโลกรัม ขี้วัว 100 กิโลกรัม หัวเชื้อ (กวก.) 1 ซอง น้ำ 50 ลิตร
สูตรที่ 2 T2 ใบไม้ 100 กิโลกรัม ขี้วัว 75 กิโลกรัม หัวเชื้อ (กวก.) 1 ซอง น้ำ 50
ลิตร
สูตรที่ 3 T3 ใบไม้ 100 กิโลกรัม ขี้วัว 50 กิโลกรัม หัวเชื้อ (กวก.) 1 ซอง น้ำ 50 ลิตร
บันทึก อุณหภูมิ อุณหภูมิกองปุ๋ยทุก 7 วัน ระยะเวลาการย่อยสลาย บันทึกภาพ ชั่งน้ำหนักวัสดุปลูก นำใบไม้วิเคราะห์ตัวอย่างธาตุอาหาร วิเคราะห์ สรุปผล
2. การศึกษาวิธีการหมักใบไม้เป็นวัสดุปลูกพืช
ขั้นตอนวิธีการดำเนินงานการวิจัย วางแผนการทดลองแบบ CRD จำนวน 4 ซ้ำ มีกรรมวิธีการเก็บ 3 กรรมวิธี คือ การหมักอัดก้อนใบไม้ การหมักในถุงดำ และการหมักแบบในคอกไม้ไผ่
(วิธีการเก็บใบไม้เหมือนขั้นตอนที่ 1) ทั้ง 3 วิธีนี้อัตราการใช้ใบไม้ในการหมัก 100 กิโลกรัม โดยปล่อยให้ย่อยสลายเองตามธรรมชาติ บันทึกสถิติน้ำฝน อุณหภูมิ อุณหภูมิกองปุ๋ยทุก 7 วัน ระยะเวลาการย่อยสลาย บันทึกภาพ ชั่งน้ำหนักวัสดุปลูก นำใบไม้วิเคราะห์ตัวอย่างธาตุอาหาร วิเคราะห์ สรุปผล
3. การศึกษาวิธีการผลิตปุ๋ยหมักให้ได้คุณภาพ
ในขั้นตอนนี้ การทดลองที่ 2 จะเป็นตัว Control ในขั้นตอนนี้ ทำการทดลองแบบ RCBD ซ้ำ 3
กรรมวิธี
สูตรที่ 1 T1 ใบไม้ 100 กิโลกรัม ขี้วัว 100 กิโลกรัม หัวเชื้อ (กวก.) 1 ซอง น้ำ 50 ลิตร
สูตรที่ 2 T2 ใบไม้ 100 กิโลกรัม ขี้วัว 75 กิโลกรัม หัวเชื้อ (กวก.) 1 ซอง น้ำ 50 ลิตร
สูตรที่ 3 T3 ใบไม้ 100 กิโลกรัม ขี้วัว 50 กิโลกรัม หัวเชื้อ (กวก.) 1 ซอง น้ำ 50 ลิตร
บันทึก อุณหภูมิ อุณหภูมิกองปุ๋ยทุก 7 วัน ระยะเวลาการย่อยสลาย บันทึกภาพ ชั่งน้ำหนักวัสดุปลูก นำใบไม้วิเคราะห์ตัวอย่างธาตุอาหาร วิเคราะห์ สรุปผล
4. การศึกษาการตอบสนองของปุ๋ยที่มีผลกับกะหล่ำปลี
ขั้นตอนกรรมวิธีดำเนินการวิจัย วางแผนการทดลองแบบ RCBD มี 13 กรรมวิธี 4 ซ้ำ รวม 52 Blocks
สิ่งทดลองได้แก่ Control (ปลูกแบบธรรมชาติไม่ใส่ปุ๋ยชนิดใดๆ)
T1 ไม่ใส่ปุ๋ยหมัก
T2 ใส่ปุ๋ยที่หมักในกล่องสี่เหลี่ยม
T3 ใส่ปุ๋ยที่หมักในถุงดำ
T4 ใส่ปุ๋ยที่หมักในคอกไม้ไผ่
T5 ใส่ปุ๋ยสูตรที่ 1 ปุ๋ยหมักอัดก้อน
T6 ใส่ปุ๋ยสูตรที่ 2 ปุ๋ยหมักอัดก้อน
T7 ใส่ปุ๋ยสูตรที่ 3 ปุ๋ยหมักอัดก้อน
T8 ใส่ปุ๋ยสูตรที่ 1 ปุ๋ยหมักในถุงดำ
T9 ใส่ปุ๋ยสูตรที่ 2 ปุ๋ยหมักในถุงดำ
T10 ใส่ปุ๋ยสูตรที่ 3 ปุ๋ยหมักในถุงดำ
T11 ใส่ปุ๋ยสูตรที่ 1 ปุ๋ยหมักในคอกไม้ไผ่
T12 ใส่ปุ๋ยสูตรที่ 2 ปุ๋ยหมักในคอกไม้ไผ่
T13
ใส่ปุ๋ยสูตรที่ 3 ปุ๋ยหมักในคอกไม้ไผ่
บันทึกข้อมูล
บันทึกข้อมูล ทุก7 วัน โดยบันทึกข้อมูลการเจริญเติบโตของกะหล่ำปลี บันทึกความสูง จำนวนใบ น้ำหนักผลผลิต
ผลการศึกษาทดลองวิจัย
การศึกษาวิธีการเก็บใบไม้หนีไฟก่อนวิกฤตมลพิษทางอากาศ
1. ต้นทุนวิธีการเก็บใบไม้ พบว่า
การเก็บแบบอัดก้อน
อัดก้อนด้วยกล่องไม้สี่เหลี่ยมขนาด
กว้าง×ยาว×สูง = 50×50×50 เซนติเมตรโดยต้องอัดก้อนละ 100 กก.
ใช้เชือกฟางมัดก้อนให้แน่น เพื่อให้คงสภาพก้อนในการขนออกมาจากพื้นที่ แล้วทำการขนออกจากพื้นที่มาไว้ในบริเวณพื้นที่หมักปุ๋ย แล้วบันทึกข้อมูล
ต้นทุนการเก็บใบไม้วิธีนี้ คือ
1. แรงงาน 4 คน = 880 บาท
2. กล่องไม้ 1 กล่อง = 360 บาท
3. เชือกฟาง = 70 บาท
4. ค่าขนส่ง(ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง) = 28.54 บาท
รวม = 1338.54 บาท
การเก็บแบบใสในถุงดำ
ทำการเก็บใส่ในถุงดำ ขนาด 40×50 เซนติเมตร อัดให้แน่นและมัดปากถุงให้สนิท แล้วขนจากพื้นที่เก็บใบไม้ มาไว้ในบริเวณพื้นที่ทำปุ๋ยหมัก แล้วบันทึกข้อมูล
ต้นทุนการเก็บใบไม้วิธีนี้ คือ
1. แรงงาน 4 คน = 880 บาท
2.
ถุงดำ ขนาด 40×50 เซนติเมตร = 189 บาท
3. ค่าขนส่ง(ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง) = 28.54 บาท
รวม = 1097.54 บาท
การเก็บในคอกไม้ไผ่
ทำการเก็บใบไม้ โดยขนใบไม้ มาไว้ในบริเวณพื้นที่หมักปุ๋ย แล้วบันทึกข้อมูล
ต้นทุนการเก็บใบไม้วิธีนี้ คือ
1. แรงงาน 4 คน = 880 บาท
2. คอกไม้ไผ่(ไม้ไผ่ป่า)คิดแต่ค่าตะปู
100 บาท + ค่าแรงงานสร้างคอก 2 คน = 540 บาท
ค่าขนส่ง(ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง) = 57.08 บาท รวม = 1477.08 บาท
สรุปต้นทุนในการเก็บใบไม้
พบว่า การเก็บใบไม้แบบใส่ในถุงดำมีต้นทุนที่ถูกที่สุดคือ1097.54 บาท รองลงมาคือการเก็บแบบอัดก้อนคือ1338.54 บาทและ การเก็บในคอกไม้ไผ่คือ1477.08 บาท ตามลำดับ
แต่ในการเก็บใบไม้ครั้งต่อไปการเก็บในคอกไม้ไผ่จะมีต้นทุนต่ำที่สุดรองลงมาคือการเก็บแบบอัดก้อนและ การเก็บแบบใส่ในถุงดำ
ตามลำดับ เพราะต้นทุนด้านอุปกรณ์ บางอย่างสามารถนำมาใช้ในครั้งต่อไปได้จึงลดต้นทุนลงมา
2.การเก็บอุณหภูมิของปุ๋ยใบไม้แต่ล่ะวิธีการ
แผนภูมิแสดงอุณหภูมิปุ๋ยใบไม้ประจะเดือนตุลาคม
จากการทดลองพบได้ว่าอุณหภูมิของปุ๋ยใบไม้จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามระยะเวลาในการหมักและจะคงที่เมื่อ หมักได้ระยะหนึ่ง
3. ผลการศึกษาวิธีการหมักใบไม้เป็นวัสดุปลูกพืช
ผลการย่อยสลายของปุ๋ยหมัก
จากการศึกษา ประสิทธิภาพในการย่อยสลายใบไม้ในการทำปุ๋ยหมักจากใบไม้ 100 กิโลกรัม ในทุกกรรมวิธี น้ำหนักปุ๋ยหมักลดลงเฉลี่ย26.50 กิโลกรัม พบว่าวิธีอัดก้อน และวิธีหมักในคอกไม้ไผ่ น้ำหนักปุ๋ยหมักลดลงเฉลี่ย 29.75
กิโลกรัม ส่วนวิธีหมักในถุงดำ น้ำหนักปุ๋ยหมักลดลงเฉลี่ย 20 กิโลกรัม ซึ่งทั้ง 3 กรรมวิธีไม่มีความแตกต่างทางสถิติ (ตารางที่ 1 )
แสดงให้เห็นว่าปัจจัยที่เกิดจากสภาพแวดล้อม เช่น แสง อากาศ ไม่ส่งผลต่อการย่อยสลายปุ๋ยหมักในทุกกรรมวิธี
ผลการศึกษาวิธีการผลิตปุ๋ยหมักให้ได้คุณภาพ
ผลการย่อยสลายของปุ๋ยหมัก
จากการศึกษาประสิทธิภาพในการย่อยสลายใบไม้ในการทำปุ๋ยหมักตามกรรมวิธีการหมักในแต่ละสูตรพบว่ากรรมวิธีการหมักในถุงดำสูตร 3 น้ำปุ๋ยหมักลดลงเฉลี่ยมากที่สุด 26.50 กก. ส่วนกรรมวิธีการหมักในคอกไม้ไผ่สูตร 3 น้ำหนักลดลงเฉลี่ยน้อยที่สุด 19.50 กก. ซึ่งทุกกรรมวิธีไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ (ตารางที่ 2) แสดงให้เห็นว่าปัจจัยที่เกิดจากสภาพแวดล้อม เช่น แสง อากาศ
ไม่ส่งผลต่อการย่อยสลายปุ๋ยหมักในทุกกรรมวิธี
ผลการวิเคราะห์ธาตุอาหารในปุ๋ยหมัก
จากการวิเคราะห์ธาตุอาหาร N,P,K ในปุ๋ยหมักพบว่าสูตรที่มีไนโตรเจนมากที่สุดคือ กรรมวิธีการหมักในคอกไม้ไผ่และถุงดำ 1.5 น้อยที่สุดคือ คอกไม้ไผ่สูตร3 0.6
ปุ๋ยหมักสูตรที่มีฟอสฟอรัสมากที่สุดคือกรรมวิธีการหมักในคอกไม้ไผ่สูตร1 1.3 น้อยที่สุดคือ คอกไม้ไผ่สูตร3 ถุงดำสูตร3 และอัดก้อนสูตร3 0.4
ปุ๋ยหมักสูตรที่มีโปรแตสเซียมมากที่สุดคือกรรมวิธีการหมักในถุงดำ 0.5 น้อยที่สุดคือ
คอกไม้ไผ่สูตร3และอัดก้อนสูตร3 0.2 (ดังตารางที่ 3 และแผนภูมิเปอร์เซ็นธาตุอาหาร)
ผลการศึกษาผลผลิตของกระหล่ำปลี
จากผลการศึกษาพบว่าคอกไม้ไผ่ให้ผลผลิตกระหล่ำปลี 932 กรัม รองลงมาถุงดำสูตร1 877 กรัม ตามลำดับน้อยที่สุดคือ ตัวควบคุมที่ไม่ได้ใส่ปุ๋ย 235 กรัม ดังตารางที่ 5 และแผนภูมิน้ำหนักกระหล่ำปลี
สรุป อภิปราย และข้อเสนอแนะ
ต้นทุนในการเก็บใบไม้ พบว่า การเก็บใบไม้แบบใส่ในถุงดำมีต้นทุนที่ถูกที่สุดคือ1097.54 บาท รองลงมาคือการเก็บแบบอัดก้อนคือ1338.54 บาทและ การเก็บในคอกไม้ไผ่คือ1477.08 บาท ตามลำดับแต่ในการเก็บใบไม้ครั้งต่อไปการเก็บในคอกไม้ไผ่จะมีต้นทุนต่ำที่สุดรองลงมาคือการเก็บแบบอัดก้อนและ การเก็บแบบใส่ในถุงดำ ตามลำดับ เพราะต้นทุนด้านอุปกรณ์ บางอย่างสามารถนำมาใช้ในครั้งต่อไปได้จึงลดต้นทุนลงมา
ผลการเก็บอุณหภูมิปุ๋ยใบไม้
จากการทดลองสรุปได้ว่าอุณหภูมิของปุ๋ยใบไม้จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามระยะเวลาในการหมักและจะคงที่เมื่อหมักได้ระยะหนึ่ง เนื่องจากกระบวนการในการหมักปุ๋ยใบไม่ได้ทำปฏิกิริยากับมูลวัวทำให้เกิดความร้อนขึ้น และจะเห็นได้ว่า การหมักปุ๋ยใบไม้แบบคอกไม่ไผ่จะมีอุณหภูมิสูงกว่าการเก็บแบบ อัดก้อน และแบบถุงดำ เนื่องจากเก็บแบบคอกไม้ไผ่ได้รับแสงแดดในปริมาณมากกว่าการเก็บแบบอื่นๆ
ผลการย่อยสลายของปุ๋ยหมัก
จากการศึกษา ประสิทธิภาพในการย่อยสลายใบไม้ในการทำปุ๋ยหมักจากใบไม้ 100 กิโลกรัม ในทุกกรรมวิธี น้ำหนักปุ๋ยหมักลดลงเฉลี่ย26.50 กิโลกรัม พบว่าวิธีอัดก้อน และวิธีหมักในคอกไม้ไผ่ น้ำหนักปุ๋ยหมักลดลงเฉลี่ย 29.75 กิโลกรัม ส่วนวิธีหมักในถุงดำ น้ำหนักปุ๋ยหมักลดลงเฉลี่ย 20 กิโลกรัม ซึ่งทั้ง 3 กรรมวิธีไม่มีความแตกต่างทางสถิติ แสดงให้เห็นว่าปัจจัยที่เกิดจากสภาพแวดล้อม เช่น แสง อากาศ ไม่ส่งผลต่อการย่อยสลายปุ๋ยหมักในทุกกรรมวิธี
ผลการย่อยสลายของปุ๋ยหมัก
จากการศึกษาประสิทธิภาพในการย่อยสลายใบไม้ในการทำปุ๋ยหมักตามกรรมวิธีการหมักในแต่ละสูตรพบว่ากรรมวิธีการหมักในถุงดำสูตร 3 น้ำปุ๋ยหมักลดลงเฉลี่ยมากที่สุด 26.50 กก. ส่วนกรรมวิธีการหมักในคอกไม้ไผ่สูตร 3 น้ำหนักลดลงเฉลี่ยน้อยที่สุด 19.50 กก. ซึ่งทุกกรรมวิธีไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ แสดงให้เห็นว่าปัจจัยที่เกิดจากสภาพแวดล้อม เช่น แสง อากาศ ไม่ส่งผลต่อการย่อยสลายปุ๋ยหมักในทุกกรรมวิธี
ผลการวิเคราะห์ธาตุอาหารในปุ๋ยหมัก
จากการวิเคราะห์ธาตุอาหาร N,P,K ในปุ๋ยหมักพบว่าสูตรที่มีไนโตรเจนมากที่สุดคือ กรรมวิธีการหมัก
ในคอกไม้ไผ่และถุงดำ 1.5 น้อยที่สุดคือ คอกไม้ไผ่สูตร3 0.6
ปุ๋ยหมักสูตรที่มีฟอสฟอรัสมากที่สุดคือกรรมวิธีการหมักในคอกไม้ไผ่สูตร1 1.3 น้อยที่สุดคือ คอกไม้ไผ่สูตร3 ถุงดำสูตร3 และอัดก้อนสูตร3 0.4
ปุ๋ยหมักสูตรที่มีโปรแตสเซียมมากที่สุดคือกรรมวิธีการหมักในถุงดำ 0.5 น้อยที่สุดคือ คอกไม้ไผ่สูตร3และอัดก้อนสูตร3 0.2
ผลการศึกษาผลผลิตของกระหล่ำปลี
จากผลการศึกษาพบว่าคอกไม้ไผ่ให้ผลผลิตกระหล่ำปลี 932 กรัม รองลงมาถุงดำสูตร1 877 กรัม ตามลำดับน้อยที่สุดคือ ตัวควบคุมที่ไม่ได้ใส่ปุ๋ย 235 กรัม จึงสรุปได้ว่าการหมักปุ๋ยในคอกไม่ไฝ่ได้ผลดีที่สุด รองลงมาคือแบบแบบถุงดำตามลำดับ และน้อยที่สุดตคือตัวควบคุม เพราะการหมักแบบคอกไม้ไฝ่มีการกลับกองปุ๋ยตลอด ทำให้การย่อยสลายได้ดี และมีธาตุอาหารที่พืชต้องการมากที่สุด ในขณะที่ตัวควบคุมให้ผลผลิตน้อยที่สุด
เพราะในตัวควบคุมนั้นมีแต่ใบไม้อย่างเดียวทำให้ปริมาณธาตุอาหารน้อยกว่าสูตรอื่นๆ
ข้อเสนอแนะ
จากผลการวิจัยเรื่องการศึกษาการการจัดการใบไม้เพื่อลดมลพิษทางอากาศช่วงวิจัยพัฒนาต้นแบบฤดูแล้งในเขตพื้นที่ลุ่ม ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะดังนี้
วิธีการและรูปแบบในการเก็บปุ๋ย ควรมีการพัฒนารูปแบบให้มากกว่านี้ และควรมีรูปแบบที่ง่านต่อการนำไปปฏิบัติของประชาชนต่อไป