เพื่อน ๆ ชอบทานอาหารรสอะไร ! บางคนอาจชอบทานหวาน บางคนชอบรสชาติเปรี้ยวจี๊ด แต่นอกจากอาหารจานอร่อย เพื่อน ๆ รู้ไหมว่าวรรณคดีไทยก็มีรสกับเขาเหมือนกันนะ ! นอกจากเนื้อหาและเรื่องราวอันน่าติดตาม เพื่อน ๆ เคยสังเกตกันบ้างไหมว่าภาษาในบทประพันธ์ (โดยเฉพาะบทร้อยกรอง) กวีได้ใช้ศิลปะอะไร ถึงเล่าเรื่องได้ชวนติดตามขนาดนี้ คำตอบก็คือ ‘กวีโวหาร’ หรือที่เมื่อก่อนเราคุ้นเคยกันในชื่อ ‘รสวรรณคดีไทย’ นั่นเอง จะออกรสออกลีลามากขนาดไหน เตรียมตัวอร่อยไปกับวรรณคดีไทยได้เลย!
กวีโวหาร
ศิลปะการใช้ถ้อยคำ ที่ทำให้วรรณคดีมีรสชาติยิ่งขึ้น
ถ้าเปรียบวรรณคดีไทยเป็นอาหาร การปรุงวรรณคดีไทยให้อร่อยน่าทาน พ่อครัว (หรือกวีของเราในที่นี้) ก็มีกรรมวิธีสุดพิเศษในการปรุงที่เรียกกันว่า “กวีโวหาร” ว่าแต่กวีโวหารนี่คืออะไรกันนะ ?
ศัพท์วรรณกรรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสภา ได้ให้ความหมายของกวีโวหารไว้ว่า “เป็นศิลปะและสุนทรียภาพ ที่ทำให้บทร้อยกรองถึงพร้อมด้วยแง่งามของเสียงและความหมาย” กวีโวหารจึงเป็นศิลปะและลีลาทางภาษาในการแต่งคำประพันธ์ของกวี ซึ่งในการแต่งวรรณคดีประเภทร้อยกรอง นอกจากกวีจะต้องสื่อความหมายออกมาให้ตรงตามความต้องการแล้ว การเลือกสรรและเรียบเรียงถ้อยคำ เพื่อถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ ให้ออกมาไพเราะงดงาม ก็เป็นส่วนสำคัญที่ต้องคำนึงถึงเช่นกัน โดยกวีโวหารในวรรณคดีไทยจะมีอยู่ 4 ลีลาหลัก ๆ ได้แก่
- เสาวรจนี (บทชมโฉม ชมความงาม)
- นารีปราโมทย์ (บทเกี้ยวโอ้โลม)
- พิโรธวาทัง (บทตัดพ้อ)
- สัลลาปังคพิไสย (บทโศก)
แค่ชื่อทั้ง 4 ลีลาก็ยังคล้องจองกันไปอีก ! ถ้าเพื่อน ๆ อยากรู้ว่ารายละเอียดของกวีโวหาร 4 รส 4 ลีลานี้จะมีอะไรบ้าง ตามพวกเราไปดูกันได้เลย
เสาวรจนี (บทชมโฉม ชมความงาม)
กวีโวหารแรกมาในแบบหวาน ๆ ชวนประทับใจ “เสาวรจนี” หรือ "บทชม" คือการเล่าชมความงามของทุก ๆ สิ่ง ชมได้ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นชมตัวละครในเรื่อง (ซึ่งอาจเป็นตัวละครที่เป็นมนุษย์ อมนุษย์ หรือสัตว์ก็ได้ทั้งนั้น) ชมความเก่งกล้าของกษัตริย์ ชมความงามของปราสาทราชวัง หรือความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมืองก็ได้ ตัวอย่างเช่น
เรืองเรืองไตรรัตน์พ้น
พันแสง
รินรสพระธรรมแสดง
ค่ำเช้า
เจดีย์ระดะแซง
เสียดยอด
ยลยิ่งแสงแก้วเก้า
แก่นหล้าหลากสวรรค์
บทประพันธ์จากนิราศนรินทร์คำโคลงบทนี้ เป็นบทชมความงามของวัดและบ้านเมืองในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เรียกได้ว่าบรรยายออกมาได้สวยงามมาก ๆ บทชมนั้นเป็นกวีโวหารที่ปรากฏอยู่เยอะมากในวรรณคดีไทย สามารถพบได้บ่อย ๆ เลยล่ะ
นารีปราโมทย์ (บทเกี้ยวโอ้โลม)
มีหญิงสาวแนบมาในชื่อแบบนี้เพื่อน ๆ พอจะเดาออกไหมว่านี่คือบทอะไร "นารีปราโมทย์" หรือ "บทเกี้ยวโอ้โลม" คือบทกล่าวแสดงความรัก ทั้งการเกี้ยวพาราสีกันในระยะแรก ๆ หรือการพรรณนาบทโอ้โลมปฏิโลม ก่อนจะถึงบทสังวาสด้วย
ถึงม้วยดินสิ้นฟ้ามหาสมุทร
ไม่สิ้นสุดความรักสมัครสมาน
แม้นเกิดในใต้ฟ้าสุธาธาร
ขอพบพานพิศวาสไม่คลาดคลา
แม้นเนื้อเย็นเป็นห้วงมหรรณพ
ขอพบศรีสวัสดิ์เป็นมัจฉา
แม้นเป็นบัวตัวพี่เป็นภุมรา
เชยผกาโกสุมปทุมทอง
เจ้าเป็นถ้ำอำไพขอให้พี่
เป็นราชสีห์สมสู่เป็นคู่สอง
จะติดตามทรามสงวนนวลละออง
เป็นคู่ครองพิศวาสทุกชาติไป
ถึงจะดูออกแนวชม ๆ เหมือนกับเสาวรจนี แต่สังเกตดูว่านารีปราโมทย์จะเน้นการแสดงออกของฝ่ายชายที่มีต่อฝ่ายหญิงในด้านความรัก เน้น ๆ เลยว่าเกี่ยวข้องกับความรัก (เรียกง่าย ๆ ว่าบทจีบนั่นแหละ) ซึ่งจุดนี้ทำให้นารีปราโมทย์แตกต่างจากเสาวรจนี ที่ชมได้หมดทั้งชมโฉม (ผู้หญิง) หรือชมสถานที่ต่าง ๆ
พิโรธวาทัง (บทตัดพ้อ)
"พิโรธวาทัง" หรือ "บทตัดพ้อ" หมายถึง การกล่าวข้อความแสดงอารมณ์ไม่พอใจ ตั้งแต่น้อยไปจนมาก จึงเริ่มตั้งแต่ไม่พอใจ โกรธ ประชดประชัน กระทบกระเทียบเปรียบเปรย เสียดสี และด่าว่าอย่างรุนแรง ชื่อก็บอกอยู่ว่าพิโรธโกรธแล้วนะ แต่ไม่ได้โกรธแบบธรรมดา เพราะกวีเขาโกรธกันแบบนี้
รูปงามนามเพราะน้อยไปหรือ
ใจไม่ซื่อสมศักดิ์เท่าเส้นผม
แต่ใจสัตว์มันยังมีที่นิยม
สมาคมก็แต่ถึงฤดูมัน
มึงนี่ถ่อยยิ่งกว่าถ่อยอีท้ายเมือง
จะเอาเรื่องไม่ได้สักสิ่งสรรพ์
ละโมบมากตัณหาตาเป็นมัน
สักร้อยพันให้มึงไม่ถึงใจ
ว่าหญิงชั่วผัวยังคราวละคนเดียว
หาตามตอมกันเกรียวเหมือนมึงไม่
หนักแผ่นดินกูจะอยู่ใย
อ้ายไวยมึงอย่านับว่ามารดา
ขนาดอ่านแบบยังไม่ถอดความยังรู้เลยว่าแรงมาก ! บทประพันธ์บทนี้มาจากเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนขุนช้างถวายฎีกา เรื่องมีอยู่ว่านางวันทองต้องเลือกระหว่างขุนช้างหรือขุนแผน แต่นางก็ตัดสินใจไม่ได้ กลัวว่าตอบไม่ถูกใจสมเด็จพระพันวษาเลยตอบแบบกลาง ๆ ไป แต่กลายเป็นว่าสมเด็จพระพันวษาโกรธมาก ด่านางวันทองกลับมายาวเหยียดว่าทั้ง
ถ่อยยิ่งกว่าถ่อย
หญิงชั่ว
หนักแผ่นดิน
เรียกได้ว่าแสดงอารมณ์โกรธจัดเต็มมาก ชนิดที่ว่าแค่ฟังยังเจ็บแทน ดังนั้นการสังเกตคำที่ใช้ในบทประพันธ์ ก็ช่วยให้เราพอตีความได้ว่า กวีใช้กวีโวหารใดผ่านการร้อยเรียงถ้อยคำเหล่านี้นั่นเอง (แอบกระซิบว่า เราจะพบบทพิโรธวาทังมากเป็นพิเศษในเรื่องอิเหนา)
สัลลาปังคพิไสย (บทโศก)
และแล้วก็มาถึงรสสุดท้ายของเรา ซึ่งก็คือ "สัลลาปังคพิสัย" นั่นเอง สัลลาปังคพิสัย หรือ "บทโศก" คือการโอดครวญ แสดงความเศร้าโศกเนื่องด้วยการพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก การกล่าวข้อความแสดงอารมณ์โศกเศร้า อาลัยรัก เช่น บทประพันธ์จากเรื่องขุนช้างขุนแผนบทนี้
เจ้าพลายงามความแสนสงสารแม่
ชำเลืองแลดูหน้าน้ำตาไหล
แล้วกราบกรานมารดาด้วยอาลัย
ลูกเติบใหญ่คงจะมาหาแม่คุณ
หลังจากดูตัวอย่างของกวีโวหารมาถึง 4 ประเภท เพื่อน ๆ ก็สามารถสรุปได้ว่า กวีโวหาร คือ ความรู้สึกที่ผู้อ่านได้รับรู้ได้จากการฟังหรือการอ่านคำประพันธ์ ซึ่งนอกจากจะช่วยให้เราเข้าใจอารมณ์ และจุดมุ่งหมายของกวีแล้ว ยังเป็นแนวทางในการวิเคราะห์โวหารในวรรณคดีไทยได้อีกด้วย หลังจากนี้เวลาอ่านบทประพันธ์ใด ๆ เพื่อน ๆ ก็น่าจะมองออกแล้วว่ากวีใช้กวีโวหารประเภทไหนในการเล่าเรื่องบ้าง อย่าลืมลองนำเทคนิคเหล่านี้ ไปใช้ตอนอ่านวรรณคดีครั้งต่อ ๆ ไป (จะลองเข้าไปศึกษาบทเรียนวรรณคดีไทยเรื่องอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ ที่นี่) แล้วจะพบว่าวรรณคดีไทยน่ะแซ่บกว่าที่คิด !
ติดตามอ่านบทเรียนออนไลน์วิชาอื่น ๆ ของระดับชั้น ม.4 ดังนี้ วิชาฟิสิกส์ เรื่องโมเมนต์ของแรง วิชาสังคมศึกษา เรื่องความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ (APEC, AFTA, WTO) วิชาเคมี เรื่องแบบจำลองอะตอมของดอลตัน และทอมสัน วิชาคณิตศาสตร์ เรื่องตรรกศาสตร์และประพจน์ และวิชาภาษาไทย เรื่อง หัวใจชายหนุ่ม คำนมัสการมาตาปิตุคุณและอาจาริยคุณ มงคลสูตรคำฉันท์