“อาการของรอบเดือนที่ไม่ควรมองข้าม”
การมีรอบเดือนหรือประจำเดือนที่มาแบบปกตินั้นจะเกิดขึ้นในช่วง 21 – 35 วัน นับจากรอบเดือนที่ผ่านมาอย่างสม่ำเสมอ โดยจะมาอยู่ประมาณ 3 – 5 วัน ปริมาณเลือดที่ออกมาประมาณ 30 – 50 มิลลิลิตรต่อรอบเดือน ลักษณะเลือดที่ออกมักไม่เป็นลิ่มเลือด ทั้งนี้ความผิดปกติของรอบเดือนเกิดขึ้นได้หลายแบบ ซึ่งได้แก่อาการเหล่านี้
- ปวดประจำเดือนมากผิดปกติ อาจสังเกตได้โดยจำเป็นต้องเปลี่ยนผ้าอนามันบ่อยกว่าปกติ และมีก้อนเลือดขนาดใหญ่ออกมากับประจำเดือน
- ปริมาณเลือดออกมามากกว่าปกติ หรือมากกว่า 80 มิลลิลิตรต่อรอบเดือน
- รอบเดือนมาสั้นกว่า 21 วัน หรือยาวนานกว่า 35 วัน
- ประจำเดือนมามากกว่า 7 วัน
- ลักษณะเลือดที่ออกเป็นแบบกะปริดกะปรอย
ทั้งหมดนี้ไม่เพียงแต่โรคมะเร็งที่สาวๆ กลัวกันแต่เพียงอย่างเดียว แต่นั้นหมายถึงโรคน่ากังวลอื่นๆ ที่ส่อเค้าเริ่มต้นอีกด้วย ดังนั้นเมื่อมีอาการเหล่านี้ ควรให้มาพบแพทย์
“โรคอันตรายที่อาจมาพร้อมรอบเดือนที่ปกติ”
แน่นอนที่อาการผิดปกติของร่างกายมักมาพร้อมโรคที่คาดไม่ถึง ซึ่งไม่ใช่เพียงแต่มะเร็งเท่านั้นแต่ยังมีโรคที่น่ากลัวอื่นๆ เช่น
โรคเนื้องอกมดลูก เป็นโรคยอดฮิตที่พบบ่อยมาก โดยจะพบถึง 4 ใน 10 คนของผู้หญิง ซึ่งส่วนใหญ่หากเป็นระยะเริ่มต้นจะไม่แสดงอาการใดๆ ประจำเดือนยังมีมาตามปกติ แม้มีโอกาสกลายเป็นเนื้อร้ายไม่มาก แต่หากเนื้องอกมีขนาดใหญ่มากจน ไปเบียดอวัยวะข้างเคียงก็จะทำให้เป็นปัญหาได้
ภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ เป็นอีกโรคที่พบได้บ่อยในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ เกิดจากเซลล์เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ ถ้าไปเจริญที่รังไข่ จะทำให้เกิดเป็นถุงน้ำที่มีของเหลวคล้ายช็อกโกแล็ตอยู่ภายใน (Chocolate cyst) ถ้าแทรกตัวเข้าไปในกล้ามเนื้อมดลูก จะทำให้มดลูกมีขนาดโตผิดปกติ (Adenomyosis) ซึ่งโดยส่วนใหญ่ทั้งสองโรคนี้มักจะทำให้มีอาการปวดประจำเดือน ปวดเวลามีเพศสัมพันธ์ หรือปวดถ่วงเวลาถ่ายอุจจาระรุนแรงขณะมีประจำเดือนได้ และยังส่งผลให้มีบุตรยากได้ด้วย แต่ในบางรายก็ไม่แสดงอาการอาการใดๆ
ถุงน้ำรังไข่ (ซีสต์ในรังไข่) มีทั้งที่สามารถยุบเองได้และถุงน้ำที่ที่ไม่สามารถ ชนิดอื่นที่ไม่ใช่ช็อกโกแลตซีสต์ป่วยโรคนี้อาจจะไม่มีอาการใดๆ แต่บางคราวจะมีอาการปวดท้องน้อยรุนแรงเฉียบพลันได้ ถ้าถุงน้ำนั้นเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น การบิดของขั้วถุงน้ำรังไข่พวกนี้ ก็อาจจะต้องเข้ารับการผ่าตัดฉุกเฉิน
“ป้องกันอย่างไรให้ห่างไกลโรคร้าย”
จากที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นสาวๆ สามารถดูแลตัวเองให้ห่างไกลโรค แถมไม่ทรมานกับการมีรอบเดือนได้ง่ายๆ ด้วยการเริ่มต้นดูแลตัวเองให้ดีตั้งแต่เริ่มวัยสาวโดย
- รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่อย่างสม่ำเสมอ ยิ่งในช่วงใกล้มีประจำเดือนให้เน้นการรับประทานผักใบเขียว เพื่อช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนและควรหลีกเลี่ยงชา กาแฟ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อลดอาการปวดก่อนมีประจำเดือน
- เวลามีประจำเดือนใครว่าไม่ควรออกกำลังกาย ไม่จริงทั้งสิ้น เพราะแท้จริงแล้วการออกกำลังกาย จะช่วยให้ร่างกายหลั่งสารเอนโดรฟิน ซึ่งจะช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือนได้ แต่พึงระวังเรื่องความสะอาดไว้ด้วย
- พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อพักฟื้นและฟื้นฟูพลังงานที่เสียไประหว่างการมีประจำเดือน
- ช่วงมีประจำเดือนเป็นช่วงที่สาวๆ ควรหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ เนื่องจากเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่ายและเลือดประจำเดือนยังเป็นแหล่งอาหารชั้นดีของเชื้อแบคทีเรีย
- ควรเปลี่ยนผ้าอนามัยอย่างน้อย 2 – 3 ชั่วโมง หรือเมื่อผ้าอนามัยที่รองรับเต็มแผ่นแล้ว
อย่างไรก็ตามเมื่อถึงเวลาที่เหมาะคุณควรปรึกษาแพทย์ พร้อมตรวจภายในและตรวจร่างกายอย่างสม่ำเสมอ ดูแลสุขภาพตัวเองให้ดี เลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง ได้แก่ สูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน ใช้สารเสพย์ติด เป็นต้น ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพียงแต่จะช่วยวัยสาวของคุณให้สดใส แต่จะช่วยให้เมื่อคุณอยากมีครอบครัว จะได้ไม่ประสบปัญหามีบุตรยาก อีกด้วย ทั้งนี้ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ เรายังมีทีมแพทย์ที่ยินดีอย่างยิ่งที่จะให้คำปรึกษาคุณในทุกช่วงวัย
- Home
- Blog
- ความรู้ทั่วไป
- ประจำเดือนแบบไหนไม่ปกติ
ประจำเดือนแบบไหนไม่ปกติ
ความรู้ทั่วไป, ความรู้สำหรับสุภาพสตรี ลงวันที่ 22 April 2565
“ประจำเดือนแบบไหนไม่ปกติ”
โดย พญ.เมธาวี อุฬารวงศ์ (สูตินรีแพทย์)
ในผู้หญิงทุกคน เมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นก็จะมีสิ่งที่เรียกว่าประจำเดือนออกมาตามรอบเดือน ประจำเดือนนั้นไม่ใช่ของเสียอย่างที่หลาย ๆ ท่านเข้าใจ แต่คือสิ่งที่เกิดจากการหลุดลอกตัวของผนังเยื่อบุโพรงมดลูกที่เตรียมไว้สำหรับรับการฝังตัวของตัวอ่อน เมื่อไม่ได้มีการฝังตัว ผนังจึงผลัดออกมาตามการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในแต่ละเดือน ดังนั้นประจำเดือนจึงควรออกเป็นรอบ ๆ อย่างสม่ำเสมอ ในปริมาณที่เหมาะสม
ประจำเดือน ควรมีลักษณะอย่างไร?
- ประจำเดือนมักมีสีแดง ไม่มีลิ่มเลือดหรือชิ้นเนื้อปน บางครั้งประจำเดือนอาจออกมาพร้อมกับตกขาวจึงดูเป็นก้อนได้แต่ไม่อันตราย
- ประจำเดือนมักไม่เกิน 7 วันต่อรอบ และมาเพียง 1 รอบต่อเดือน แต่ในบางครั้ง หากมีรอบเดือนในช่วงต้นเดือน อาจมีรอบเดือนอีกครั้งในช่วงวันท้ายๆของเดือนได้
- โดยเฉลี่ยแล้ว แต่ละรอบประจำเดือนจะห่างกัน 28 วัน แต่สามารถเป็นได้ตั้งแต่ 21 ถึง 35 วัน โดยในแต่ละคนควรมีรอบเดือนที่สม่ำเสมอในทุกๆเดือน อย่างไรก็ตามในช่วงปีแรกๆที่เริ่มมีประจำเดือนหรือในวัยใกล้หมดประจำเดือนอาจไม่สม่ำเสมอได้
- ปริมาณประจำเดือน ที่ปกตินั้นไม่ควรเกิน 80 ซีซี โดยค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 35 ซีซีต่อรอบ เทียบได้กับผ้าอนามัยประมาณ 3-4 ผืนต่อวัน
เลือดออกผิดปกติแบบไหนที่ควรมาพบแพทย์
- เลือดออกตามรอบเดือน แต่มาปริมาณมากผิดปกติ เปลี่ยนผ้าอนามัยถี่ขึ้น ใช้ผ้าอนามัยผืนใหญ่ขึ้นหรือต้องใช้ผ้าอ้อมอนามัย มีลิ่มเลือดปน เริ่มมีอาการเวียนศีรษะ หน้ามืด เป็นลม รวมถึงตรวจพบว่ามีภาวะเลือดจาง
- เลือดออกยาวนานขึ้น เช่น จากปกติมีรอบเดือนไม่เกิน 7 วัน แต่มียาวนานขึ้นเป็น 10 วัน
- มีเลือดออกกะปริบกะปรอยนอกรอบเดือน หรือมีประจำเดือนมากกว่า 1 รอบต่อเดือน
- เลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์
- เลือดออกหลังหมดประจำเดือน หลังหมดประจำเดือนแล้ว ฮอร์โมนเพศหญิงจะค่อยๆลดลงจนหมดไป จึงไม่ควรกลับมามีประจำเดือนอีก หากมีเลือดออกจากช่องคลอดควรมาพบแพทย์เพื่อประเมินทุกครั้ง
- ประจำเดือนไม่มาตามรอบ หรือประจำเดือนไม่มาติดต่อกันหลายเดือน
แพทย์จะให้การรักษาอย่างไร
- แพทย์จะซักประวัติเบื้องต้น โดยเฉพาะประวัติทางสูตินรีเวช ได้แก่ ประวัติการตั้งครรภ์ ประวัติการคุมกำเนิด ประวัติการตรวจภายในและตัดกรองมะเร็งปากมดลูก รวมถึงประวัติประจำเดือนย้อนหลัง
- ตรวจร่างกาย การตรวจภายใน และอาจใช้การอุลตร้าซาวด์อวัยวะอุ้งเชิงกรานร่วมด้วยหากแพทย์สงสัยว่ามีความผิดปกติ
- ตรวจประเมินว่ามีความเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์หรือไม่ อาจจำเป็นต้องส่งตรวจปัสสาวะเพื่อประเมินการตั้งครรภ์
- ประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดความผิดปกติของเยื่อบุโพรงมดลูก และอาจใช้เครื่องมือดูดชิ้นเนื้อในโพรงมดลูกไปตรวจในรายที่มีความเสี่ยง
แนะนำให้คุณสุภาพสตรีมาพบสูตินรีแพทย์เพื่อประเมินทุกครั้ง หากพบว่ามีเลือดออกผิดปกติที่ลักษณะต่างออกไปจากประจำเดือน หรือไม่แน่ใจว่าเป็นเลือดออกผิดปกติหรือไม่ คลินิกนรีเวชกรรม ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษกยินดีให้คำปรึกษาค่ะ
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติ่ม
คลินิกนรีเวชกรรม
- โทร 02 849 6600 ต่อ 1571 , 1572
บทความที่เกี่ยวข้อง
ยามุ่งเป้า ทางเลือกใหม่ของการรักษามะเร็ง
ยามุ่งเป้า ทางเลือกใหม่ของการรักษามะเร็ง โดย นพ.วรเศรษฐ์ สายฝน ปัจจุบันการรักษามะเร็งวิวัฒนาการมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง การศึกษาพันธุกรรมของเซลล์มะเร็งทำให้ค้นพบว่าเซลล์มะเร็งมีคุณสมบัติเฉพาะตัว เช่น มีการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมซึ่งส่งผลต่อการส่งสัญญาณการแบ่งตัวภายในเซลล์ (Signal transduction pathway) ทำให้เซลล์มะเร็งเจริญเติบโตได้เองอย่างไม่จำกัด มีความสามารถในการสร้างหลอดเลือดมาเลี้ยงตัวเอง สามารถหลบหลีกการถูกทำลายจากภูมิคุ้มกันของร่างกาย และสามารถมีความสามารถแพร่กระจายไปอวัยวะต่าง ๆ ได้ ความสามารถพิเศษเหล่านี้เกิดจากการกลายพันธุ์ของยีนบางชนิดซึ่งส่งผลต่อการทำงานของโปรตีนต่าง ๆ ที่ควบคุมการแบ่งตัวของมะเร็ง โดยมะเร็งแต่ละชนิดมีการกลายพันธุ์ของยีนต่าง ๆ ไม่เหมือนกัน เมื่อนักวิจัยสามารถศึกษาจนค้นพบว่า กลไกใดสำคัญต่อมะเร็งชนิดใด จึงสามารถพัฒนายามายับยั้งกลไกการทำงานของยีนกลายพันธุ์นั้น ๆ ทำให้เซลล์มะเร็งถูกทำลายลงได้ในที่สุด จึงเรียกยาที่ออกฤทธิ์เฉพาะเจาะจงในกลไกการแบ่งตัวที่ถูกรบกวนเหล่านี้ว่า ยามุ่งเป้า (Targeted therapy) โดยยามุ่งเป้าในปัจจุบันจะมีชนิดออกฤทธิ์ยับยั้งการแบ่งเซลล์ และชนิดที่ยับยั้งการสร้างเส้นเลือดเป็นหลัก ความแตกต่างระหว่างยามุ่งเป้าและยาเคมีบำบัด ยามุ่งเป้าทำลายเซลล์มะเร็งเป้าหมายโดยตรง โดยอาจส่งผลต่อเซลล์ปกติเพียงเล็กน้อย ในขณะที่ยาเคมีบำบัดทำลายทั้งเซลล์มะเร็งและเซลล์ปกติที่แบ่งตัวเร็ว ยามุ่งเป้ามักมีผลข้างเคียงน้อยกว่ายาเคมีบำบัด ยามุ่งเป้าใช้ได้เฉพาะในมะเร็งบางชนิดและต้องตรวจพบยีนกลายพันธุ์ที่เข้าได้กับยามุ่งเป้านั้น ในส่วนของยาเคมีบำบัดไม่ต้องตรวจการกลายพันธุ์ของมะเร็งก่อน รูปแบบของยามุ่งเป้า มีทั้งรูปแบบยากิน (Tyrosine kinase inhibitors) และยาฉีด (monoclonal antibody) มีทั้งการใช้เป็นยาชนิดเดียวและการใช้ร่วมกับยาอื่น เช่น ยาเคมีบำบัด […]
Long Covid กับกลุ่มอาการเหนื่อยล้าหลังติดเชื้อ
Long Covid กับกลุ่มอาการเหนื่อยล้าหลังติดเชื้อ โดย พจ.รณกร โลหะฐานัส กลุ่มอาการเหนื่อยล้าหลังติดเชื้อ (Post-infective fatigue syndrome, PIFS) หมายถึงอาการเหนื่อยล้าที่รุนแรงและต่อเนื่อง หลังจากการติดเชื้อที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยเงื่อนไขทางการแพทย์ ซึ่งมีมาอย่างน้อย 6 เดือนและส่งผลต่อการทำงานประจำวันอย่างมีนัยสำคัญ สาเหตุของกลุ่มอาการ PIFS เกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ ตั้งแต่ความเสียของเนื้อเยื่อปอดหรือหัวใจ การทำงานของไซโตไคน์ผิดปกติอย่างต่อเนื่อง การเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างและการทำงานของกล้ามเนื้อ การบาดเจ็บภายในสมองหรือระบบประสาทส่วนปลาย ทั้งยังมีรายงานอีกว่ากลุ่มอาการ PIFS มีอัตราความชุกของความเหนื่อยล้าในแถบยุโรปที่สูงกว่าภูมิภาคอื่นๆ อาการแสดงของกลุ่มอาการ PIFS มักเกี่ยวข้องกับอาการทางระบบทางเดินหายใจหลายอย่าง เช่น เหนื่อยหอบ หายใจลำบาก เจ็บหน้าอก ไอเรื้อรัง ปวดศีรษะ วิงเวียน เป็นต้น แนวทางการรักษา ทางการแพทย์แผนจีนจะให้การรักษาด้วยการฝังเข็มหรือจ่ายยาสมุนไพร ด้วยการตรวจวินิจฉัยตามกลุ่มอาการ ซึ่งการฝังเข็มจะเลือกใช้จุด LU7, LI4, ST36, SP6, SP9, SP10, HT7, KD6, TH5, GD41, LR3, LR8 เป็นจุดหลักในการรักษา […]
กลุ่มอาการขาอยู่ไม่สุข
กลุ่มอาการขาอยู่ไม่สุข (Restless Legs Syndrome) คืออะไร โดย นพ.นพดล ตรีประทีปศิลป์ กลุ่มอาการขาอยู่ไม่สุขเป็นภาวะที่มีอาการอยากขยับ ขาขณะตื่น มีความรู้สึกคล้ายมีอะไรมาไต่ขา ถ้าไม่ขยับจะมีความรู้สึกไม่สะดวกสบาย สาเหตุ : อาจพบกับ โรคอื่นๆ เช่น โรคโลหิตจางจากขาดธาตุเหล็ก, ไตวายเรื้อรัง เป็นต้น,ร้อยละ 30 ของผู้ป่วยมักมีประวัติของโรคนี้ในครอบครัว ผลกระทบต่อสุขภาพ : นอนหลับยาก หรือ รู้สึกหลับไม่สนิท ทำให้การนอนไม่มีคุณภาพ ส่งผลให้เกิดอาการง่วงตอนกลางวัน โรคนี้มักมี อาการที่ขาแต่สามารถเกิดขึ้นกับส่วนอื่นๆ ได้ วิธีการรักษา : รักษาโรคที่เป็นสาเหตุ เช่น การให้ธาตุเหล็กเพื่อรักษา ภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก หาและงดปัจจัยที่ อาจเป็นสาเหตุ เช่น ยาบางกลุ่มข้างต้น หลีกเลี่ยงคาเฟอีน ในชากาแฟ น้ำอัดลม ช็อคโกแลต —————————————————————————- คลินิกโสต ศอ นาสิก ลาริงซ์ (ENT) ให้บริการวินิจฉัยและรักษาอาการที่เกี่ยวข้องกับหู คอ จมูก […]