๑. การใช้ธรรมชาติเปรียบกับความทุกข์โศกของพระนางมัทรี
เนื้อหากัณฑ์มัทรีนี้แสดงความสัมพันธ์ระหว่างธรรมชาติกับพระนางมัทรีอย่างชัดเจน สภาพธรรมชาติที่แตกต่างไปจากปกติ แสดงให้เห็นว่าเป็นลางบอกเหตุแก่พระนางมัทรีว่าจะเกิดเรื่องร้ายๆ ขึ้น ดังว่า
“…เหตุไฉนไม้ที่มีผลเป็นพุ่มพวง ก็กลับกลายเป็นดอกดวงเดียรดาษอนาถเนตร แถวโน้มก็แก้วเกดพิกุลแกมกับกาหลง ถัดนั่นก็สายหยุดประยงค์และยมโดย พระพายก็พัดร่วงโรยรายดอกลงมูนมอง แม่ยังได้เก็บเอาดอกมาร้อยกรองไปฝากลูกเมื่อวันวาน ก็เพี้ยนผิดพิสดารเป็นพวงผลผิดวิกลแต่ก่อนมา (สพฺพามุยฺหนฺติ เม ทิสา) ทั้งแปดทิศก็มืดมนทุกหนแห่ง ทั้งขอบฟ้าก็ดาษแดงเป็นสายเลือดไม่วนนวายหายเหือดเป็นลางร้ายไปรอบข้าง…” และ
“…โอ พระอาศรมเจ้าเอ๋ยน่าอัศจรรย์ใจ แต่ก่อนดูนี่สุกใสด้วยสีทอง เสียงเนื้อนกนี่ร่ำร้องสำราญรังเรียกคู่คูขยับขัน ทั้งจักจั่นพรรณลองไนเรไรร้องอยู่หริ่งๆ ระเรื่อยโรย โหยสำเนียงดั่งเสียงสังคีตขับประโคมไพร โอ…เหตุไฉนเหงาเงียบเมื่อยามนี้ ทั้งอาศรมก็หมองศรีเสหมือนหนึ่งว่าจะเศร้าโศก เออ ชะรอยว่าพระเจ้าลูกจะวิโยคพลัดพรากไปจากอกพระมารดาเสียจริงแล้วกระมังในครั้งนี้…”
ลักษณะธรรมชาติมีอารมณ์ร่วมทุกข์ในตัวละครมักปรากฏในวรรณคดีไทยถือเป็นกลวิธีการแต่งประการหนึ่งที่เน้นย้ำความทุกข์และความเศร้าโศรกของตัวละครหรืออการที่ตัวละครใช้ธรรมชาติเป็นที่ระบายความทุกข์ เช่น
“…จึ่งตรัสว่าน้ำเอ๋ยเคยมาเปี่ยมขอบเป็นไรจึ่งขอดข้นลงขุ่นหมองพระพายเจ้าเอ๋ยเคยมาพัดต้องกลีบอุบล พากกลิ่นสุคนธ์ขจรรสมารวยรื่นเป็นไรจึ่งเสื่อมหอมหายชื่นไม่เฉื่อยฉ่ำฝูงปลาเอ๋ยเคยมาผุดคล่ำดำแฝงฟองบ้างก็ขึ้นล่องว่ายเลื่อนชมแสงเดือนอยู่พราย ๆ เป็นไรจึ่งไม่ว่ายเวียน นกเจ้าเอ๋ยเคยบินลงไล่จิกเหยื่อทุกเวลา วันนี้แปลกเปล่าตาแม่แลไม่เห็น…”
๒. การเล่นเสียง
๒.๑ การเล่นเสียงสัมผัสพยัญชนะเสียงเดียวกันต่อๆ กันหลายคำ เช่น
“ ก็กลายเป็นดอกดวงเดียรดาษอนาถเนตร”
“ สะดุ้งพระทัยไหวหวาดวะหวีดวิ่งวนแวะเข้าข้างทาง พระทรวงนางสั่นระรัวริกเต้นดั่งตีปลา”
“ พระองค์เห็นพิรุธร่องรอยร้าวรานที่ตรงไหน ทอดพระเนตรสังเกตไว้แต่ปางก่อนจึงเคือง ค่อนด้วยคำหยาบยอกใจเจ็บจิตเหลือกำลัง”
“ พระพายรำเพยพัดมาฉิวเฉื่อย เรไรระรี่เรื่อยร้องอยู่หริ่งๆ”
“ ครั้นจะลีลาหลีกตัดเดาไปทางใดก็เหลือเดิน ทั้งสองข้างเป็นโขดเขินขอบคันขึ้นกั้นไว้”
๒.๒ การเล่นเสียงสัมผัสสระ ที่เป็นเสียงเสนาะอันเกิดจากการเล่นเสียงสระ เช่น
“ นางก็ถึงวิสัญญีสลบลงตรงหน้าฉาน ปานประหนึ่งว่าพุ่มฉัตรทองอันต้องสายอัสนีฟาดระเนนเอนก็ล้มลงตรงหน้าพระที่นั่งเจ้า นั้นแล”
๒.๓ การเล่นทั้งเสียงสัมผัสพยัญชนะและสระ เช่น
“ แม่ยังกลับหลังมาโลมลูบจูบกระหม่อมจอมเกล้าทั้งสองเรา”
“ เจ้าเคยเคียงเรียงเคียงหมอนนอนแนบข้างทุกราตรี”
“ โอ้แม่อุ้มท้องประคองเคียงเลี้ยงเจ้ามาก็หมายมั่น”
๓. การเล่นคำ
มีการเล่นคำที่เรียกว่า “สะบัดสะบิ้ง” ซึ่งจะคำแบ่งคำออกเป็นสองกลุ่มเท่าๆ กัน แล้วซ้ำคำเดียวกันที่มีเสียงสระสั้นในพยางค์หน้า ส่วนพยางค์หลังเล่นเสียงพยัญชนะเดียวกันแต่ต่างเสียงสระกัน ก่อให้เกิดจังหวะคำที่ไพเราะ เช่น คำว่า “สะอึกสะอื้น” ในข้อความว่า “พระนางยิ่งหมองศรีโศกกำสรดสะอึกสะอื้น” และคำว่า “ตระตรากตระตรำ” ในข้อความว่า “อุตสาหะตระตรากตระตรำเตร็ดเตร่หาผลาผลไม้” และการเล่นคำซ้ำดังนี้
“…ควรจะสงสารเอ่ยด้วยต้นหว้าใหญ่ใกล้อาราม งามด้วยกิ่งก้านประกวดกัน ใบชอุ่มเป็นชุ่มช่อเป็นฉัตรชั้นดั่งฉัตรทอง แสงพระจันทร์ดิ้นส่องต้องน้ำค้างที่ขังให้ไหลลงหยดย้อย เหมือนหนึ่งน้ำพลอยพร้อยๆ อยู่พรายๆ … พระพายรำเพยพัดมาฉิวเรื่อย เรไรระรี่เรื่อยร้องอยู่หริ่งๆ”
๔. การใช้ภาพพจน์
ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรีเป็นกัณฑ์ที่มีความไพเราะเป็นอย่างยิ่งอีกทั้งการใช้ถ้อยคำสละสลวยทำให้ผู้อ่านเกิดจินตภาพด้วยการเลือกสรรความเรียงลักษณะต่างๆ โดยสื่อผ่านภาพพจน์ในหลายลักษณะ คือ
๔.๑ การใช้ภาพพจน์แบบอุปมาเป็นการเปรียบเทียบสิ่งหนึ่งว่าเหมือนอีกสิ่งหนึ่ง เช่น
เปรียบเทียบพระทัยเต้นระทึกของพระนางมัทรีกับกายอันสั่นรัวของปลาที่ถูกตี ดังปรากฏในเนื้อความว่า “พระทรวงนางสั่นระริกดั่งตีปลา” เปรียบความเจ็บปวดพระทัยของนางมัทรีที่พระเวสสันดรไม่ยอมตรัสตอบว่าราวกับถูกแทงด้วยเหล็กเผาไห หรือมิเช่นนั้นก็ราวกับแพทย์เอายาพิษให้คนไข้ที่มีอาการหนักอยู่แล้วกิน ทำให้อาการทรุดเพียบหนักลงไปอีก ซึ่งคงจะรอดชีวิตได้ยาก ดังปรากฏในเนื้อความว่า “นางก็เศร้าสร้อยสลดพระทัยดั่งเอาเหล็กแดงมาแทงใจให้เจ็บจิตนี่เหลือทน อุปมาเหมือนคนไข้หนักมิหนำยังแพทย์เอายาพิษมาวางซ้ำให้เวทนา เห็นชีวานี้คงจะไปไม่รอดสักกี่วัน”
“…พ่อชาลีเจ้าเลือกเอาผลไม้ แม่กัณหาฉะอ้อนวอนไหว้จะเสวยนม ผทมเหนือพระเพลาพลางฉอเลาะแม่นี้ต่างๆ ตามประสาทารกเจริญใจ (วจฺฉา พาลาว มาตรํ) มีอุปไมยเสมือนหนึ่งลูกทรายทรามคะนอง”
“…โหยสำเนียงดั่งเสียงสังคีตขับประโคมไพร โอ เหตุไฉนเหงาเงียบเมื่อยามนี้ ทั้งอาศรมก็หมองศรีเสมือนหนึ่งว่าจะเศร้าโศก”
“…ทั้งลูกรักดั่งแก้วตาก็หายไป อกเอ๋ยจะอยู่ไปไยให้ทนเวทนา อุปมาเสมือนหนึ่งพฤกษาลดาวัลย์ย่อมจะอาสัญลงเพราะลูกเป็นเที่ยงแท้…”
๔.๒ การใช้ภาพพจน์แบบอุปลักษณ์เป็นการเปรียบว่าอีกสิ่งหนึ่ง “เป็น” หรือ “คือ” อีกสิ่งหนึ่ง เช่น
“หวังว่าจะเป็นเกือกทองฉลองบาทยุคลทั้งคู่แห่งพระคุณผัว”
“ก็น้ำใจของมัทรีนี้กตเวทีเป็นไม้เท้าก้าวเข้าสู่ทางทดแทน”
๔.๓ การใช้ภาพพจน์แบบสัทพจน์เป็นการเลียนเสียง
นอกจากนี้ยังมีการใช้สัทพจน์หรือคำเลียนเสียง ทำให้ข้อความมีชีวิตชีวานิ่งขึ้น เช่น
“แต่ย่างเหยียบเกรียบกรอบก็เหลียวหลัง”
“สมเด็จอรไทเธอเที่ยวตะโกนกู่กู๋ก้อง”
“เสียงนกนี่ร่ำร้องสำราญรังเรียกคู่คูขยับขันทั้งจักจั่นพรรณลองไนเรไรร้องอยู่หริ่งๆ ระเรื่อยโรย”
๔.๔ การใช้ภาพพจน์แบบบุคลวัต เป็นการใช้ภาพพจน์ที่มีชีวิตที่มิใช่มนุษย์และสิ่งไม่มีชีวิต ทำกิริยาอาการเลียนแบบมนุษย์ เช่น
“ได้ยินแต่เสียงดุเหว่าละเมอร้องก้องพนาเวศ”
“ทั้งพื้นป่าพระหิมพานต์ก็ผิดผันหวั่นไหวอยู่วิงเวียน”
“เสียงเนื้อนกนี่ร่ำร้องสำราญรังเรียกคู่คูขยับขัน”