iPhone 8 และ iPhone 8 Plus กำลังจะเริ่มวางจำหน่ายในวันที่ 22 กันยายนนี้ สำหรับประเทศที่อยู่ในกลุ่มแรก ตามมาด้วยวันที่ 29 กันยายน สำหรับประเทศในกลุ่มที่สอง ซึ่งประเทศไทยไม่ได้อยู่ใน 2 กลุ่มแรก ดังนั้น ยังมีเวลาให้คุณได้ตัดสินใจว่าจะรอซื้อรุ่นใหม่ หรือรุ่นที่มีขายอยู่แล้วอย่าง iPhone 7 ซึ่ง Apple ก็มีการปรับลดราคาลงมาด้วย อาจจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
iPhone 7 และ iPhone 7 Plus
ปัจจุบัน iPhone 7 กับ iPhone 7 Plus มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยใน Apple Store โดยไม่มีรุ่น 256GB ให้เลือกแล้ว รวมถึงรุ่นพิเศษ (PRODUCT)RED Special Edition แต่ข่าวดีก็คือ สีดำ Jet Black มีรุ่น 32GB แล้ว นั่นหมายถึง iPhone 7 และ iPhone 7 Plus มีให้เลือกครบทั้ง 5 สี โดยไม่จำกัดความจุอีกต่อไป ประกอบไปด้วย สีดำ, สีเงิน, สีทอง, สีโรสโกลด์ และ สีดำเจ็ทแบล็ค
ราคาล่าสุดของ iPhone 7 กับ iPhone 7 Plus ก็มีลดค่าตัวลงมาด้วย ถูกลงกว่าเดิม 4,000 บาท
ราคา iPhone 7
- 32GB ราคา 22,500 บาท
- 128GB ราคา 26,500 บาท
ราคา iPhone 7 Plus
- 32GB ราคา 27,500 บาท
- 128GB ราคา 31,500 บาท
สำหรับใครที่มีแนวโน้มจะซื้อ iPhone 7 แต่ยังลังเลใจว่าจะรอซื้อ iPhone 8 เราได้ทำตารางเปรียบเทียบสเปกที่สำคัญระหว่าง 2 รุ่นมาให้แล้ว
จากตารางเปรียบเทียบ ทำให้เรามองเห็นความแตกต่างได้ชัดเจนมากขึ้นระหว่าง iPhone 7 กับ iPhone 8 รวมถึงรุ่น Plus อย่างแรกคือความจุ iPhone 8 จะมีความจุมากกว่า 2 เท่า จอแสดงผลเป็นแบบ True Tone ให้ขอบเขตสีกว้างขึ้น ชิปประมวลผลรุ่นใหม่ A11 Bionic ให้ประสิทธิภาพดีขึ้นกว่าเดิม 70% เมื่อเทียบกับชิป A10 Fusion
กล้องดิจิตอลระหว่าง iPhone 7 กับ iPhone 8 มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ไม่ใช่เรื่องความละเอียดกล้อง แต่เป็นเรื่องบันทึกวีดีโอ iPhone 8 สามารถถ่ายวีดีโอ 4K ที่ 60 เฟรมต่อวินาที ขณะที่ iPhone 7 ถ่ายวีดีโอ 4K ที่ 30 เฟรมต่อวินาที ในส่วนของ iPhone 8 Plus ยังรองรับฟีเจอร์ Portrait Lighting แบบเดียวกับ iPhone X
สำหรับข้อมูลที่ Apple ไม่ได้เปิดเผย แต่เราพบว่า iPhone 8 มีความจุแบตเตอรี่น้อยกว่า iPhone 7 ส่วนความจำ RAM เท่าเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่ถ้าคุณกังวลเรื่องแบตเตอรี่ของ iPhone 8 เราพอจะบอกได้ว่าชิป A11 Bionic ผลิตด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยกว่า ชิป A10 Fusion จึงประหยัดพลังงานมากกว่าเดิม อีกทั้งยังรองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว และอุปกรณ์ชาร์จไร้สาย
iPhone 8 และ iPhone 8 Plus
เปิดตัวไปเรียบร้อยแล้ว กับ iPhone SE ที่อยู่ๆ ก็มากันแบบไม่ให้สุ้มให้เสียง โดยมือถือรุ่นนี้มีดีไซน์และสเปคต่างๆ ตามข่าวลือที่ออกมาก่อนหน้านี้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์ตัวเครื่องที่แทบจะถอดแบบมาจาก iPhone 8 แต่ว่ามากับสเปคเทพๆ ของ iPhone 11 ซะด้วย…ว่าแล้วเราก็เลยเอา iPhone ทั้ง 3 รุ่น มาเทียบให้ดูกันซะเลยว่าแต่ละรุ่นแตกต่างกันตรงไหนบ้าง ระหว่าง iPhone SE, iPhone 8 และ iPhone 11
ก่อนอื่นมาดูที่ตารางเปรียบเทียบสเปคของ iPhone แต่ละรุ่นกันก่อนนะครับ ว่ารุ่นไหนมีสเปคเป็นยังไงกันบ้าง
สเปค | iPhone SE (2020) | iPhone 8 | iPhone 11 |
หน้าจอ | Retina ขนาด 4.7 นิ้ว ความละเอียด 750 x 1334 (326 ppi) | Retina ขนาด 4.7 นิ้ว ความละเอียด 750 x 1334 (326 ppi) | Liquid Retina ขนาด 6.1 นิ้ว ความละเอียด 1792 x 828 (326 ppi) |
CPU | A13 Bionic | A11 Bionic | A13 Bionic |
RAM | 3GB | 2GB | 4GB |
ความจุ | 64GB / 128GB / 256GB | 64GB / 256GB | 64GB / 128GB / 256GB |
กล้องหลัง | Wide 12MP (f/1.8) | Wide 12MP (f/1.8) | Wide 12MP (f/1.8) + OIS Ultra Wide 12MP (f/2.0) 120° + OIS |
กล้องหน้า | 7MP (f/2.2) | 7MP (f/2.2) | 12MP (f/2.2) |
การเชื่อมต่อ | Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac/ax, dual-band, hotspot, Bluetooth 5.0 | Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac, dual-band, hotspot Bluetooth 5.0 | Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac/ax, dual-band, hotspot, Bluetooth 5.0 |
เซ็นเซอร์ | Fingerprint (ด้านหน้า), accelerometer, proximity, gyro, compass, barometer | Fingerprint (ด้านหน้า), accelerometer, gyro, proximity, compass, barometer | Face ID, accelerometer, gyro, proximity, compass, barometer |
SIM | 1 Nano SIM + eSIM | 1 Nano SIM | 1 Nano SIM + eSIM |
GPS | A-GPS, GLONASS | A-GPS, GLONASS, BDS, GALILEO | A-GPS, GLONASS, GALILEO, QZSS |
กันน้ำ / ฝุ่น | IP67 | IP67 | IP68 |
รูหูฟัง 3.5 มม. | ไม่มี | ไม่มี | ไม่มี |
ลำโพง | สเตอรีโอคู่ บน-ล่าง | สเตอรีโอคู่ บน-ล่าง | สเตอรีโอคู่ บน-ล่าง |
แบตเตอรี่ | 1821 mAh | 1821 mAh | 3110 mAh |
ระบบชาร์จ | รองรับชาร์จไวสูงสุด 18W | รองรับชาร์จไวสูงสุด 18W | รองรับชาร์จไวสูงสุด 18W |
ระบบชาร์จไร้สาย | รองรับสูงสุด 7.5W | รองรับสูงสุด 7.5W | รองรับสูงสุด 7.5W |
ขนาด / น้ำหนัก | 138 x 67 x 7.3 มม. / 148 กรัม | 138 x 67 x 7.3 มม. / 148 กรัม | 151 x 76 x 8.3 มม. / 194 กรัม |
ระบบปฏิบัติการ | iOS 13 | iOS 11 | iOS 13 |
*สีเหลือง รอการยืนยัน
ดีไซน์
สำหรับ iPhone SE (2020) ที่พึ่งเปิดตัวมานี้ เห็นแล้วก็บอกได้เลยว่าเอาบล็อกแม่พิมพ์ของ iPhone 8 ที่เปิดตัวไปเมื่อปี 2017 มาใช้เลยก็คงไม่ผิด ไม่ว่าจะเป็นขอบจอบน-ล่างที่ไม่ได้บางตามเทรนด์มือถือยุคนี้, เซ็นเซอร์สแกนนิ้วมือวงกลมที่อยู่ตรงขอบจอด้านล่าง และกล้องหลังตัวเดียวที่อยู่มุมซ้ายบนของเครื่อง รวมทั้งปุ่มต่างๆ ก็อยู่ในตำแหน่งเดียวกับ iPhone 8 หมดเลย นอกจากนี้ทั้งขนาดและน้ำหนักของทั้งคู่ก็ยังเท่ากันเป๊ะๆ อีกต่างหาก
หน้าจอของทั้ง iPhone SE (2020) และ iPhone 8 เป็นแบบ Retina ให้มาไซส์เดียวกันเป๊ะๆ ที่ 4.7 นิ้ว และความละเอียดก็เท่ากันที่ 750 x 1334
จะต่างกันก็ตรงสีตัวเครื่องของ iPhone SE (2020) ที่เปลี่ยนไป โดยมีให้เลือกทั้งหมด 3 สี คือ สีดำ สีขาว และสีแดง ในขณะที่ iPhone 8 มี 4 สี ให้เลือกคือ สีเงิน สีเทา สีทอง และสีแดง โดยที่สีแดงยังคงเป็น Product RED เช่นเดิม ซึ่งเหล่าผู้ติดตาม iPhone จะรู้ดีว่าสินค้าในกลุ่มนี้ ทาง Apple จะนำรายได้จากการซื้อผลิตภัณฑ์ที่เข้าเกณฑ์ทั้งหมด 100% ไปสมทบกับกองทุนโลกเพื่อสู้กับ HIV/AIDS และล่าสุดมีการอัพเดทว่าจะเอาเงินส่วนนี้ไปช่วยต่อสู้กับ COVID‑19 อีกด้วย
iPhone SE (2020)
สเปค
ถึงแม้ว่า iPhone SE (2020) จะมากับดีไซน์เดียวกับรุ่นพี่ที่เปิดตัวไปได้ 3 ปีแล้ว แต่สเปคภาพในเรียกว่าทันสมัย และทรงพลังสุดๆ เพราะมากับชิประดับเรือธงของ iPhone 11 คือ A13 Bionic และด้วยความที่ Apple ไม่เคยเปิดเผยตัวเลข RAM เราจึงยังขอยึดตามข่าวลือคือให้ RAM มา 3GB อัพเกรดจาก iPhone 8 ที่ใช้ชิป A11 และ RAM ที่ให้มาแค่ 2GB เท่านั้น ส่วนความจุมีให้เลือก 3 แบบ คือ 64GB, 128GB และ 256GB
กล้องหลัง – หน้า
กล้องหลังของ iPhone SE (2020) ยังคงมีมาให้แค่ 1 ตัว เหมือนกับรุ่น iPhone 8 แถมยังเป็นสเปคเดียวกันที่ความละเอียด 12MP (f/1.8) อีกด้วย รวมถึงกล้องเซลฟี่ก็เป็นสเปคเดียวกันที่ความละเอียด 7MP (f/2.2) อีกเช่นกัน แต่ยังไม่มีการคอนเฟิร์มว่าทั้งสองรุ่นนี้ใช้เป็นเซนเซอร์เดียวกัน ชิ้นเลนส์เดียวกันหรือไม่ ก็คงต้องรอการวางจำหน่าย และมีคนไปแกะเครื่องมาเทียบกันดูถึงจะรู้ต่อไป เช่นเดียวกับ RAM แต่ลำพังความสามารถในการประมวลผลของ A13 Bionic เราก็พอเดาได้ว่าภาพที่ถ่ายได้น่าจะสวยขึ้นกว่าตอน iPhone 8 ในระดับนึงเลย
เมื่อขยับขึ้นไปเทียบกับรุ่นท็อปอย่าง iPhone 11 ก็จะเจอความต่างหลักๆ คือที่มีกล้องหลังมาให้ 2 ตัว เป็นเลนส์ Wide + Ultra Wide ความละเอียด 12MP แถมยังให้ระบบกันสั่น OIS ในกล้องทั้ง 2 ตัว อีกด้วย ส่วนกล้องเซลฟี่ก็มีความละเอียดมากกว่าที่ 12MP
อื่นๆ
สำหรับความแตกต่างอื่นๆ ของ iPhone SE (2020) ที่ต่างจาก iPhone ก็มีทั้งการเชื่อมต่อ WiFi ที่คราวนี้รองรับแบบ WiFi 6 และรองรับการใช้งานแบบ 2 SIM (1 Nano SIM + 1 eSIM) ส่วนแบตเตอรี่ยังไม่มีการเปิดเผยออกมาว่ามีกี่ mAh แต่คาดว่าน่าจะเท่า หรือพอๆ กับ iPhone 8 ที่ให้มา 1821 mAh และสำหรับระบบชาร์จไว ทั้ง 3 รุ่น จะรองรับสูงสุดเท่ากันที่ 18W รวมทั้งรองรับการชาร์จแบบไร้สายอีกด้วย
ราคา
ราคาของ iPhone SE (2020) ในประเทศไทยจะแบ่งออกตามหน่วยความจำดังนี้
- iPhone SE 2020 รุ่น 64GB : ราคา 14,900 บาท
- iPhone SE 2020 รุ่น 128GB : ราคา 16,900 บาท
- iPhone SE 2020 รุ่น 256GB : ราคา 20,900 บาท
ถ้าเอาไปเทียบกับ iPhone 8 ตอนเปิดตัวเมื่อปี 2017 (ตอนนี้ไม่มีขายใน Apple Store แล้ว) ก็จะอยู่ที่
- iPhone 8 รุ่น 64GB : ราคา 29,000 บาท
- iPhone 8 รุ่น 256GB : ราคา 33,500 บาท
- iPhone 8 รุ่น 64GB : ราคา 15,900 บาท (ปรับราคาเมื่อปี 2019)
- iPhone 8 รุ่น 256GB : ราคา 17,900 บาท (ปรับราคาเมื่อปี 2019)
เรียกว่า iPhone SE (2020) มีราคาตอนเปิดตัวที่ถูกกว่าแทบจะครึ่งต่อครึ่งเลยทีเดียว แต่หลังจากที่ Apple ปรับราคาของ iPhone 8 ลงไปเมื่อช่วงปลายปี 2019 ก็จะมีราคาที่สูสีกับ iPhone SE (2020) อยู่เหมือนกัน ส่วนถ้าจะไปเทียบราคากับรุ่นใหญ่อย่าง iPhone 11 ก็จะเรียกว่าห่างชั้นกันเกินไปหน่อยครับ เพราะรุ่นนั้นจะโดดขึ้นไปถึง 24,900 – 30,900 บาท เลยทีเดียว
โดยสรุปแล้ว เรียกได้ว่า iPhone SE (2020) เป็นการนำเอา iPhone 8 มายกเครื่องใหม่ใส่ชิป Apple A13 Bionic เข้าไป และบอกว่านี่คือรุ่นใหม่ พร้อมทำราคาเปิดตัวถูกที่สุดในประวิตศาสตร์ของ iPhone เพื่อเป็นการเรียกแขกเรียกสาวกก็คงจะไม่ผิดนัก เผลอๆจะเป็นแคมเปญการตลาดที่แรงที่สุดของ Apple ในปีนี้ ซึ่งเมื่อเข้ามาในตลาดไทย เชื่อว่าจะเกิดแรงกระเพื่อมต่อตลาด Smartphone ในช่วงราคาตั้งแต่ 8,000 – 20,000 บาท เลยก็เป็นได้