การจัดพิธีไหว้ครู
การจัดพิธีไหว้ครูนั้น มักนิยมจัดกันในวันพฤหัสบดี ซึ่งถือว่าเป็นวันครูอันเกี่ยวข้องกับตำนานเทพเจ้าพระพฤหัสบดี ในปัจจุบันบางครั้งก็นิยมจัดกันในวันอาทิตย์ได้อีก 1 วัน แต่ไม่ว่าจะจัดวันพฤหัสบดีหรือวันอาทิตย์ จะต้องไม่ตรงกับวันพระเพราะถือว่าครูจะไม่ลงมา และหาซื้อเครื่องสังเวยลำบาก เดือนที่นิยมกระทำพิธีไหว้ครูตามแบบโบราณนั้น นิยมประกอบพิธีในเดือนที่เป็นเลขคู่
ยกเว้นเดือน 9 เดือนเดียวที่อนุโลม เพราะถือเป็นเคล็ดว่าเป็นเลขที่ดีก้าวหน้า และมักทำกันในวันข้างขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นวันฟู ข้างแรมอันถือว่าเป็นวันจมไม่นิยมประกอบพิธีกัน
ลักษณะพิธีต่างๆของการไหว้ครู
ตอนที่ 1 พิธีสวดมนต์เย็น หมายถึง พิธีสงฆ์ที่มักนิยมทำกันก่อนวันไหว้ครู 1 วัน เพื่อความเป็นสิริมงคล โดยในวันนี้จะต้องจะเตรียมสถานที่ และสิ่งต่างๆที่จำเป็นให้เรียบร้อย แล้วจึงนิมนต์พระ 9 รูป มาทำพิธีสวดมนต์เย็นในโรงพิธีดังกล่าวก่อนเริ่มวันไหว้ครู
ตอนที่ 2 พิธีไหว้ครู หมายถึง การสำรวมใจรำลึกถึงพระคุณของบรมครูที่ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ให้แก่ศิษย์ และพร้อมใจกันเปล่งเสียงวาจาด้วยความเคารพตามครูผู้กระทำพิธีขณะอ่านโองการ
ตอนที่ 3 พิธีครอบครู เป็นพิธีที่นิยมกันมาช้านาน หมายถึง การนำศีรษะครูมาครอบ (เพื่อรับเป็นศิษย์) และครูจะคอยควบคุมรักษา คอยช่วยเหลือให้สิษย์มีความจำในกระบวนท่ารำ จังหวะดนตรี หากมีสิ่งใดที่ไม่งามจะเกิดขึ้นกับศิษย์ ครูจะช่วยปัดเป่าให้พ้นจากตัวศิษย์ พิธีครอบครูนั้นนับว่าเป็นการทำให้ผู้เรียนมีกำลังใจว่าครูจะคุ้มครองรักษา ครูจะช่วยเหลือแม้จะรำผิดพลาดไปบ้าง จะทำให้ผู้เรียนไม่ตระหนกตกใจจนเกินไป เพราะมีความเชื่อมั่นว่าตัวเองได้ทำพิธีครอบครูแล้ว ครูคงให้อภัยในความผิดพลาด อีกประการหนึ่งพิธีครอบครูนั้น ผู้ศึกษานาฏศิลป์ทุกคนถือว่าเป็นพิธีสำคัญ และจำเป็นสำหรับผู้ศึกษาปฏิบัติท่ารำที่อยู่ในระดับสูง เช่น การรำเพลงหน้าพาทย์ ก่อนจะรำผู้ศึกษาต้องผ่านพิธีครอบครูก่อนจึงจะต่อท่ารำได้
ตอนที่ 4 พิธีมอบ พิธีนี้เป็นขั้นตอนที่สูงที่สุด หมายถึง การได้รับการมอบความรู้ความเป็นครู ผู้สืบทอดการอบรมสั่งสอนในสมัยที่ยังไม่มีปริญญาบัตรเป็นเครื่องกำหนดความรู้ ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่ครูผู้สอนวิชานาฏศิลป์จะพิจารณาว่า ศิษย์คนใดมีความรู้ในวิชานาฏศิลป์มีฝีมือในการรำยอดเยี่ยม จนถือเป็นแบบแผนที่ดีได้ และมีความประพฤติเรียบร้อย เหมาะสมที่จะเป็นครูสืบทอดความเป็นผู้รู้ให้กับผู้อื่นได้ต่อไป การมอบนั้น ครูผู้กระทำพิธีจะรวบรวมบรรดาอาวุธทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการแสดงโขน-ละคร เช่น พระขรรค์ ดาบ หอก ธนู รวมทั้งบทละคร มัดรวมไว้ และครูจะภาวนาคาถาประสิทธิ์ประสาทความเป็นผู้รู้ และส่งมัดอาวุธให้ศิษย์ได้น้อมรับ ก็เป็นอันว่าศิษย์นั้นได้เป็นครูสอนวิชานาฏศิลป์อย่างถูกต้องสมบูรณ์ตามประเพณีนิยมที่ปฏิบัติกันมาจนทุกวันนี้
ดนตรี และเพลงที่ใช้ประกอบในพิธีไหว้ครู
ดนตรีที่ใช้บรรเลงนิยมใช้วงปี่พาทย์เครื่องห้า ส่วนเพลงที่บรรเลงประกอบในพิธีไหว้ครูนับเป็นสิ่งสำคัญ
เพราะต้องบรรเลงเพลงหน้าพาทย์อันเป็นเพลงที่ในวงการศิลปินให้ความเคารพ ผู้ที่บรรเลงได้จะต้องเป็นบุคคลที่มีฝีมือเป็นอย่างดี เพราะถ้าหากเกิดความผิดพลาดอาจจะมีผลถึงตนเองที่เรียกว่า "ผิดครู" ซึ่งเพลงดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องกับพิธีไหว้ครูเป็นอย่างมาก เป็นเพลงที่จะกำหนดอัยเชิญครูปัธยาย (ครูเทพเจ้าต่างๆ) เป็นอย่างมากมาร่วมในพิธี ซึ่งแต่ละสถานที่อาจมีการกำหนดเรียงตามลำดับไม่เหมือนกัน เช่น
เพลงเหาะ | เชิญพระอิศวร |
เพลงกลม | เชิญเทพเจ้า |
เพลงโคมเวียน | เชิญเทวดาทั่วไป |
เพลงบาทสกุณี | เชิญพระนารายณ์ |
เพลงตระพระปรคนธรรพ | เชิญพระประคนธรรพ (ครูดนตรี) |
เพลงตระองค์พระพิราพเต็มองค์ | เชิญองค์พระพิราพ |
เพลงคุกพากย์ | เชิญครูยักษ์ใหญ่ทั่วไป |
เพลงดำเนินพราหมณ์ | เชิญผู้ทรงศีล |
เพลงช้า - เพลงเร็ว | เชิญครูมนุษย์ |
เพลงเชิดฉิ่ง | เชิญครูนาง |
เพลงกราวนอก | เชิญครูวานร |
เพลงกราวใน | เชิญครูยักษ์ทั่วไป |
เพลงกราวตะลุง | เชิญครูแขก |
เพลงโล้ | เชิญครูที่เดินทางมาทางน้ำ |
เพลงเสมอเถร | เชิญครูฤาษีขึ้นสู่ที่ประทับ |
เพลงเสมอมาร | เชิญครูยักษ์ขึ้นสู่ที่ประทับ |
เพลงเสมอเข้าที่ | เชิญครูที่มิได้เจาะจงว่าเป็นผู้ใดขึ้นสู่ที่ประทับ |
เพลงเสมอผี | เชิญวิญญาณที่เกี่ยวข้องกับนาฏศิลป์ ดนตรีสู่ที่ประทับ |
เพลงแผละ | เชิญสัตว์ปีกใหญ่ เช่น พญาครุฑ มาในพิธี |
เพลงลงสรง | เชิญครูที่มาทุกองค์ลงสรงน้ำ |
เพลงนั่งกิน | เชิญครูที่มาประชุมทุกองค์กินเครื่องสังเวย |
เพลงเซ่นเหล้า | เชิญครูที่มาประชุมทุกองค์ดื่มสุรา |
เพลงช้า - เพลงเร็ว | เชิญทุกคนที่มาร่วมพิธีรำถวาย |
เพลงกราวรำ | เชิญศิษย์ทุกคนรำเพื่อเป็นสิริมงคล และส่งครูกลับ |
เพลงพระเจ้าลอยถาด | ส่งครูกลับ |
เพลงมหาชัย | บรรเลงส่งท้ายเพื่อความสามัคคี |
บางตำราได้เรียงลำดับเพลงหน้าพาทย์ที่ใช้ในพิธีไหว้ครู ครอบครูดนตรี และนาฏศิลป์ ตลอดจนความหมายของเพลงหน้าพาทย์ที่เชิญเทพเจ้าหรือครูมาร่วมพิธีต่างกันออกไปอีกดังนี้
เพลงโหมโรง | เชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้เสด็จมาในพิธี |
เพลงสาธุการกลอง | บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ |
เพลงตระเชิญ | เชิญเชิญพระอิศวร |
เพลงตระนารายณ์บรรทมสินธุ์ | เชิญพระนารายณ์ |
เพลงสี่บท | เชิญพระ พรหม |
เพลงเหาะ | เชิญเทพที่เหาะเหินเดินอากาศ |
เพลงโคมเวียน | เชิญเทพบุตรและนางฟ้ามาเป็นหมวดหมู่ |
เพลงช้า - เพลงเร็ว | เชิญครูโขน - ละคร ตัวพระ ตัวนาง |
เพลง เชิดฉิ่ง | เชิญนางเมขลา |
เพลงแผละ | เชิญครูที่อยู่ในอากาศ |
เพลงโล้ | เชิญครูที่อยู่ในน้ำ |
เพลงกราวตะลุง | เชิญครูโนห์รา |
เพลงคุกพากย์ | เชิญพระคเณศ |
เพลงพระปรคนธรรพ | เชิญครูตะโพนหรือครูหน้าทับ |
เพลงกลม | เชิญพระปัญจสีขร ครูทางดีด สั ตี เป่า |
เพลงเสมอสามลา | เชิญพระวิสสุกรรม ครูทางช่างศิลป์ |
เพลงกราวนอก | เชิญครูนาฏศิลป์ทางฝ่ายขวามือ |
เพลงรุกรัน | เชิญครูพระ ลิง มนุษย์ |
เพลงเสมอข้ามสมุทร | เชิญครูพระ ลิง มาเป็นหมวดหมู่ |
เพลงบาทสกุณี | เชิญครูพระราม พระลักษณ์ พระพรต พระสัตรุด |
เพลงชำนาญ | เชิญครูนางโขน |
เพลงกราวใน | เชิญครูนาฏศิลป์ทางฝ่ายซ้ายมือ |
เพลงเสมอมาร | เชิญทศกัณฐ์ และพระยามารทั้งหมด |
เพลงตระบองกัน | เชิญครูฝ่ายยักษ์หรืออสูร |
เพลงรัวสามลา | เชิญครูฝ่ายอสูรที่มีอิทธิฤทธิ์ |
เพลงเสมอผี | เชิญครูที่เป็นวิญญาณทั้งหลาย |
เพลงดำเนินพราหมณ์ | เชิญครูฤาษีชีพราหมณ์ |
เพลงตระองค์พระพิราพเต็มองค์ | เชิญครูพระพิราพ |
เพลงตระสันนิบาต | เชิญครูมาร่วมประชุมทุกองค์ |
นอกจากนี้ยังมีเพลงที่ผู้รู้ได้ให้คำอธิบายเพิ่มเติมดังนี้
เพลงตระพระอิศวร | เชิญเชิญพระอิศวร |
เพลงตระพระนารายณ์ | เชิญพระนารายณ์ |
เพลงตระลงสรงพระพรหม | เชิญพระพรหม |
เพลงตระพระพิฆเณศ | เชิญพระพิฆเณศ |
เพลงกลม | เชิญ พระอินทร์ |
เพลงตระพระวิษณุกรรม | เชิญพระวิษณุกรรม |
เพลงตระพระปัญจสีขร | เชิญพระปัญจสีขร |
เพลง ตระพระปรคนธรรพ | เชิญ ตระพระปรคนธรรพ |
เพลง ตระนาง | เชิญพระอุมา |
เพลงตระฤาษีกไลโกฎ | เชิญพระฤาษีกไลโกฎ |
เพลงตระพระฤาษี | เชิญพระฤาษีทั่วไป |
ซึ่งเพลงดังกล่าวจะมีลักษณะประจำองค์ของเทพนั้นๆ แต่ปัจจุบันเพลงที่นำมาบรรเลงเชิญเทพแต่ละองค์ในพิธีไหว้ครูอาจแตกต่างกันไป ซึ่งอาจสืบเนื่องมาจากผู้บรรเลงได้รับสืบทอดมาจากครูแต่ละคน หรือไม่ก็เพราะมีผู้บรรเลงได้น้อย อาจด้วยครูรุ่นเก่าๆไม่ได้ต่อไว้ให้ จึงทำให้ลักษณะเพลงที่ออกมาเวลาเชิญครูแตกต่างกันออกไปดังกล่าว และในสมัยก่อนเวลาไหว้ครูก็จะไม่เรียกเพลงมาก ยกเว้นในพิธีหลวงจึงจะเรียกเพลงมาก
ในการจัดพิธีไหว้ครูโขน - ละคร จะเห็นได้ว่าในพิธีจะมีหัวโขนหรือศีรษะครูที่เป็นเสมือนตัวแทนของครูแต่ละองค์
นำมาตั้งประกอบในพิธีมากมายตามโอกาส และความพร้อมของผู้จัด ในเรื่องของประวัติเทพเจ้าที่เกี่ยวข้อง ลักษณะที่สำคัญ ตลอดทั้งความสำคัญของหัวโขนเทพเจ้าที่พอจะนำมาเป็นตัวอย่าง ได้แก่
- หัวโขนพระอิศวร แทนองค์พระอิศวร เป็นเทพเจ้าผู้ทำลายล้าง
- หัวโขนพระนารายณ์ แทนองค์พระนารายณ์ เป็นเทพเจ้าผู้บริหาร และรักษาโลก
- หัวโขนพระพรหม แทนองค์พระพรหม เป็นเทพเจ้าผู้สร้างโลก
- หัวโขนพระอินทร์ แทนองค์พระอินทร์ เทพเจ้าผู้คอยช่วยเหลือคนดี
- หัวโขนพระพิฆคเณศ แทนองค์พระพิฆคเณศ เทพเจ้าแห่งความรู้ สติปัญญา และศิลปศาสตร์
- หัวโขนพระวิสสุกรรม แทนองค์พระวิสสุกรรม เทพเจ้าแห่งการช่าง และการก่อสร้าง
- หัวโขนพระปรคนธรรพ แทนองค์พระปรคนธรรพ เป็นครูทางปี่พาทย์
- หัวโขนพระปัญจสีขร แทนองค์พระปัญจสีขร เป็นครูทางด้านดนตรี
- หัวโขนพระพิราพ แทนองค์พระพิราพ เป็นเทพแห่งการประสบโชค และความตาย ศิลปินโขน - ละครไทย ให้ความเคารพในฐานะเป็นครูในวิชาดุริยางคศาสตร์ และนาฏศิลป์
- หัวโขนพระฤาษีกไลโกฎ พระภรตฤาษี พระฤาษีตาสัส พระฤาษีตาไฟ แทนองค์พระฤาษีกไลโกฎ พระภรตฤาษี พระฤาษีตาสัส พระฤาษีตาไฟ เป็นครูทางด้านการฟ้อนรำ ที่ศิลปินมักกล่าวถึงเสมอโดยเฉพาะพระภรตฤาษี
สำหรับการไหว้ครูในการแสดงบางเรื่อง เป็นความเชื่อของศิลปินที่จะต้องกระทำก่อนการแสดงเสมอ เพื่อป้องกันสิ่งที่จะเป็นอัปมงคล ถึงแม้ว่าไม่ต้องทำพิธีใหญ่เหมือนกับการจัดพิธีไหว้ครูโขน - ละครทั่วไป แต่ก็ทำเพื่อความปลอดภัย และความมั่นใจให้กับผู้แสดง นอกจากนี้ การแสดงบางเรื่องจะต้องทำพิธีเพิ่มขึ้น โดยจัดเครื่องสังเวยต่างๆเพื่อบูชาครูหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายก่อนการแสดงละครเรื่องนั้นๆ โดยเฉพาะละครที่แสดงเกี่ยวกับ
- กษัตริย์หรือเชื้อพระวงศ์ต่างๆในอดีต เช่น ละครเรื่องสมเด็จพระศรีสุริโยทัย เรื่องสมเด็จพระนเรศวร เรื่องพระเจ้าตากสิน ฯลฯ
- เรื่องเกี่ยวกับภูติผี เช่น ขุนช้างขุนแผน ตอนนางวันทองห้ามทัพ
- เรื่องเกี่ยวกับตัวละครที่ต้องตายตามท้องเรื่อง เช่น เรื่องพระลอ ที่ตัวแสดงต้องตายในฉากสุดท้าย คือ ตัวพระลอ พระเพื่อน พระแพง นายแก้ว นายขวัญ นางรื่น นางโรย เรื่องเงาะป่า ที่ตัวแสดงเป็นซมพลา ฮเนา และนางลำหับต้องตาย ฯลฯ
- เรื่องเกี่ยวกับตัวละครต้องแสดงโดยถูกจองจำด้วยเครื่องพันธนาการต่างๆ เช่น เรื่องราชาธิราช ตอนสมิงพระรามอาสา
ซึ่งถ้าจะแสดงเป็นเรื่องในลักษณะดังกล่าวข้างต้น ก็มักจะต้องมีพิธีไหว้ครูที่พิเศษออกไปกว่าปกติก่อนการฝึกซ้อมหรือการแสดงทุกครั้ง เพราะละครไทยส่วนใหญ่แล้วไม่นิยมแสดงเกี่ยวกับตัวละครต้องตายในเรื่องหรือถูกจองจำหรือเกี่ยวกับภูติผี ด้วยถือว่าเป็นอัปมงคล หากจะต้องแสดงก็จำเป็นต้องทำพิธีดังกล่าวขึ้น
ประวัติของพิธีไหว้ครู
การประกอบพิธีไหว้ครูนั้นไม่ปรากฎหลักฐานถึงความเป็นมาของพิธีไหว้ครู และครอบครูโขน - ละคร ว่าสืบเนื่องมาตั้งแต่เมื่อใด แต่ได้มีการกำหนดระเบียบแบบแผน เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติโดยการบอกเล่าต่อๆกันมาเป็นมุขปาฐะ ตำราพิธีไหว้ครู และครอบโขน - ละครของไทยมีอยู่ 2 ฉบับ คือ สมุดไทยมีจำนวน 3 เล่ม แต่คงเหลือเพียงเล่ม 2 เล่มเดียว ส่วนเล่ม 1 และเล่ม 3 หายไป ซึ่งเข้าใจว่ามีนักปราชญ์รวบรวมชำระทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราเป็นพิธีไหว้ครูโขน - ละคร ฉบับหลวง ในรัชกาลที่ 4 ส่วนอีกฉบับหนึ่ง คือ สมุดไทยเล่ม 2 ที่หลงเหลือมาจากฉบับแรก ได้ตีพิมพ์ใช้เป็นแบบฉบับของการทำพิธีไหว้ครูโขน - ละครในสมัยรัชกาลที่ 6
ในสมัยรัชกาลที่ 4 พิธีไหว้ครูโขน - ละครได้เริ่มเมื่อวันพฤหัสบดี
ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 6 พ.ศ. 2397 ส่วนการไหว้ครูนอกพระราชวังนั้นเริ่มมีมานานแล้ว เพราะได้ปฏิบัติกันเป็นประเพณีติดต่อกัน อย่างเช่น การฝึกหัดละครโนห์ราชาตรี เมื่อรำเพลงครูได้แล้ว ครูจึงสอนให้ท่องบทเพราะละครโนห์ราชาตรียังใช้ร้องกลอนสด (เหมือนอย่างเล่นเพลงลิเก) ไม่มีหนังสือบทอย่างละครในกรุงเทพฯ แล้วสอนให้ร้องให้รำทำบทไปจนพอทำได้ ผู้ที่เป็นครูหัดจึงพาไปให้ครูครอบ เรียกว่า "เข้าครู"
นอกจากนี้ในเรื่องพิธีไหว้ครูนั้น ยังเกี่ยวข้องกับลัทธิธรรมเนียมของการแสดงโขน - ละคร เพราะลักษณะพิเศษของโขน - ละครไทยนั้น นอกจากจะเป็นนาฏศิลป์แล้วยังเป็นลัทธิอีกอย่างหนึ่ง กล่าวคือ เป็นลัทธิมีพิธีกรรมของตนเอง และโดยเหตุนี้นาฏศิลป์ไทยมีความผูกพันใกล้ชิดกับศาสนาฮินดูตั้งแต่ในระยะแรกเริ่ม ลัทธิธรรมนียมของโขน - ละครไทยที่เกิดขึ้นต่อมาจึงหนักไปทางไสยศาสตร์หรือศาสนาฮินดู เทพเจ้าอันเป็นที่นับถือในลัทธิโขน - ละครก็คือพระเป็นเจ้าของศาสนาฮินดู ได้แก่ พระอิศวร พระนารายณ์ พระพรหม และพระพิฆคเณศ
นอกจากนั้นก็มีเทพเจ้าอื่นๆอีกบางองค์ เช่น พระปรครธรรพ ผู้ซึ่งถือว่าเป็นใหญ่ในทางดนตรี รองลงมาได้แก่ ครูปัธยาย ซึ่งมีวัตถุที่เคารพแสดงออกด้วยหัวโขน ได้แก่ พระภรตฤาษี ซึ่งเป็นหัวฤาษีหน้าทอง พระนารทฤาษี ซึ่งเป็นหัวฤาษีหน้ากระดาษเขียนสี หัวพระพิราพซึ่งเป็นหัวโขนยักษ์ หัวโขนพระราม พระลักษณ์ เทริดโนห์รา และรัดเกล้าอันเป็นศิราภรณ์ของนางกษัตริย์ในเรื่องละคร หัวโขนอื่นๆที่ใช้ในการแสดงนั้นก็ถือว่าเป็นวัตถุที่เคารพทั้งสิ้น จะจับต้องหรือตั้งไว้ที่ใดกต้องกระทำด้วยความเคารพ
ที่มา://www.nsru.ac.th/oldnsru/webelearning/dance/teacher.html