เผยขั้นตอนการตรวจสภาพรถยนต์และรถจักรยานยนต์ก่อนไปเสียภาษี มาดูกันว่าต้องตรวจอะไรบ้าง รวมถึงเอกสารและค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้
ใครที่มีรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ สิ่งแรกก่อนที่จะนำรถของท่านไปต่อภาษี 2565 คือการนำรถไปตรวจสภาพตามข้อบังคับกฎหมาย เพื่อให้ได้ใบรับรองการตรวจสภาพรถที่พร้อมใช้งาน ไม่เกิดปัญหาในระหว่างการขับขี่ สำหรับไปยื่นทำเรื่องต่อภาษีรถยนต์ประจำปี วันนี้เรารวบรวมข้อมูลสำหรับการตรวจสภาพรถ ว่าจะต้องตรวจเช็กอะไรบ้าง สามารถไปตรวจได้ที่ไหน และมีราคาเท่าไหร่ ไปดูกันเลย
ตรวจสภาพรถ ทำไมต้องตรวจ
การตรวจเช็กสภาพรถประจำปี เป็นการตรวจสอบสภาพของตัวรถให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ เพื่อความปลอดภัยของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร อีกทั้งยังจะช่วยลดความสูญเสียและอุบัติเหตุต่าง ๆ ทั้งที่จะเกิดกับเราและผู้ร่วมทางที่อยู่บนท้องถนน รวมถึงให้เป็นไปตามกฎของกระทรวงตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 ที่ว่าด้วยรถยนต์ที่มีอายุใช้งานเกิน 7 ปี นับตั้งแต่วันที่จดทะเบียนครั้งแรก จะต้องได้รับการตรวจสภาพรถก่อนจะไปยื่นชำระภาษีรถยนต์ประจำปี
อีกทั้งการตรวจสภาพรถประจำปียังได้รับสิทธิ์ต่าง ๆ ที่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงบริการ เช่น การซื้อประกัน ไปจนถึงการรักษามูลค่าของตัวรถหากต้องนำไปขายทอดตลาดอีกด้วย
ตรวจสภาพรถ รถประเภทไหนบ้างที่ต้องตรวจ ?
รถกี่ปีต้องตรวจสภาพ รถที่เข้าข่ายต้องได้รับการตรวจสภาพ ต้องนับอายุการใช้งานของรถ โดยให้นับอายุทางทะเบียนตั้งแต่วันที่จดทะเบียนครั้งแรก ถึงวันสิ้นสุดอายุภาษีประจำปี (วันครบกำหนดเสียภาษีประจำปี) และสามารถนำรถเข้าตรวจสภาพล่วงหน้าได้ 3 เดือน ก่อนถึงวันสิ้นอายุภาษีประจำปี โดยมีรายละเอียดดังนี้
รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน ที่มีอายุใช้งานครบ 7 ปีขึ้นไป
รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน ที่มีอายุใช้งานครบ 7 ปีขึ้นไป
รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล ที่มีอายุใช้งานครบ 7 ปีขึ้นไป
รถจักรยานยนต์ ที่มีอายุใช้งานครบ 5 ปีขึ้นไป
ตรวจสภาพรถ ได้ที่ไหนบ้าง
เจ้าของรถสามารถนำรถไปตรวจสภาพประจำปีได้ 2 แห่งหลัก ๆ ได้แก่
กรมการขนส่งทางบก เจ้าของรถสามารถติดต่อขอตรวจสภาพรถประจำปีที่กรมการขนส่งทางบกได้โดยตรงภายในจังหวัดที่อยู่ใกล้ที่สุด แต่ส่วนมากจะนิยมตรวจสภาพรถยนต์ขนาดใหญ่มากกว่า รวมถึงรถที่มีการดัดแปลงสภาพ เปลี่ยนสีตัวถัง เปลี่ยนเครื่องยนต์ รถที่มีปัญหาเกี่ยวกับเลขตัวรถ หรือเลขเครื่องยนต์ รถที่ขาดต่ออายุทะเบียนเกิน 1 ปี เป็นต้น
สถานตรวจสภาพรถเอกชน หรือ ตรอ. เป็นสถานตรวจสภาพรถที่ได้รับอนุญาตจากกรมการขนส่งทางบก โดยสถานที่นี้จะรับตรวจเช็กสภาพรถให้ตรงตามข้อกำหนดของกรมการขนส่งทางบก และสามารถออกเอกสารการันตีเพื่อใช้ในการต่อภาษีประจำปีได้
ตรวจสภาพรถ ต้องเตรียมอะไรบ้าง
นอกจากต้องนำรถเข้าไปตรวจเช็กแล้ว อีกสิ่งที่ต้องเตรียมด้วยก็คือ ใบคู่มือจดทะเบียนรถ หรือสมุดทะเบียนรถ สามารถใช้ได้ทั้งฉบับจริงและฉบับสำเนา (รถยนต์ : เล่มสีฟ้า / จักรยานยนต์ : เล่มสีเขียว) สำคัญที่สุด เจ้าของต้องนำรถไปตรวจสภาพล่วงหน้าไม่เกิน 3 เดือน ก่อนถึงวันสิ้นอายุภาษีประจำปี
ตรวจสภาพรถยนต์ ตรวจอะไรบ้าง ?
ในการตรวจสภาพรถประจำปีสำหรับรถยนต์ จะต้องตรวจสอบให้ตรงกับรายละเอียดที่อยู่ในคู่มือจดทะเบียนรถ รวมถึงความพร้อมของตัวรถ อาทิ
ตรวจสอบความถูกต้องข้อมูลของรถ ไม่ว่าจะเป็นแผ่นป้ายทะเบียนรถ ลักษณะรถ หมายเลขตัวถัง เลขเครื่องยนต์
ตรวจสภาพของตัวรถ ไม่ว่าจะเป็นตัวถัง สี อุปกรณ์เกี่ยวกับความปลอดภัย พวงมาลัย ที่ปัดน้ำฝน ว่าพร้อมใช้งานมากน้อยขนาดไหน
ตรวจสอบระบบบังคับเลี้ยว ระบบเบรก ว่ายังใช้งานได้ปกติหรือไม่
-
ทดสอบประสิทธิภาพการเบรก โดยตรวจสอบอุปกรณ์ทุกชิ้นให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน
ตรวจสอบวัดโคมไฟหน้า ทิศทางการเบี่ยงเบนของแสง และวัดค่าความเข้มของแสง
ตรวจสอบวัดก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) และก๊าซไฮโดรคาร์บอน (HC) ของรถยนต์ส่วนบุคคลไม่เกิน 7 ที่นั่ง
รถยนต์เครื่องดีเซล ต้องตรวจควันดำ โดยระบบการกรองต้องไม่เกินร้อยละ 50 และระบบความทึบแสงต้องไม่เกินร้อยละ 45
การตรวจวัดเสียงรถ ต้องไม่เกิน 100 เดซิเบล
สำหรับรถใช้แก๊สนั้นจะต้องมีการตรวจเพิ่มเติม คือ การตรวจ ทดสอบ เช็กตามข้อต่อ ตลอดจนท่อและอุปกรณ์แก๊สทั้งระบบ ว่ามีความสมบูรณ์พร้อมใช้งานหรือไม่ โดยถังแก๊สต้องมีอายุไม่เกิน 10 ปี
รถที่ติดถังแก๊สที่มีอายุเกิน 10 ปี จะมีการตรวจสอบว่ายังใช้งานได้ต่ออีกหรือไม่ โดยจะพิจารณาจากอุปกรณ์ที่ติดตั้งว่ามีความสมบูรณ์พร้อมใช้งานมากน้อยขนาดไหน ซึ่งถ้าตรวจสอบแล้วก็จะออกใบรับรองเพื่อยืดอายุการใช้งานต่อได้อีก 5 ปี ตามกฎหมาย
สำหรับรถยนต์ที่ตรวจสภาพประจำปีแล้ว ก็ต้องมี พ.ร.บ.รถยนต์ แต่ละประเภทควบคู่ไปด้วยสำหรับใช้ในการยื่นต่อภาษีประจำปี โดยราคาของ พ.ร.บ. นั้นก็จะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับประเภทของการใช้รถด้วย ถ้าหากเป็นรถยนต์ส่วนบุคคล ค่า พ.ร.บ.รถยนต์ จะมีราคาดังนี้
รถส่วนบุคคลไม่เกิน 7 ที่นั่ง ราคาอยู่ที่ 600 บาท
รถส่วนบุคคลเกิน 7 ที่นั่ง แต่ไม่เกิน 15 ที่นั่ง ราคาอยู่ที่ 1,100 บาท
รถส่วนบุคคลเกิน 15 ที่นั่ง แต่ไม่เกิน 20 ที่นั่ง ราคาอยู่ที่ 2,050 บาท
รถส่วนบุคคลเกิน 20 ที่นั่ง แต่ไม่เกิน 40 ที่นั่ง ราคาอยู่ที่ 3,200 บาท
รถส่วนบุคคลเกิน 40 ที่นั่ง ราคาอยู่ที่ 3,740 บาท
ตรวจสภาพรถจักรยานยนต์ ตรวจอะไรบ้าง ?
ตรวจสอบสภาพโดยรวมของรถ ชุดสี ชุดแฟริ่ง กระจกมองหลัง ว่ายังอยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ปกติหรือไม่
เช็กระบบไฟส่องสว่าง ทั้งไฟหน้า ไฟท้าย ไฟเบรก และไฟเลี้ยว ต้องไม่มีหลอดไฟขาด สามารถส่องสว่างและใช้งานได้ทุกดวง
ระบบเสียงแตร เวลากดต้องมีเสียงแตรดังออกมา
ระบบเบรก ตรวจเช็กระบบเบรก สามารถหยุดหรือชะลอเบรกได้
ค่าไอเสียมลพิษทางอากาศที่ถูกปล่อยว่าเป็นไปตามข้อบังคับหรือไม่
ทั้งนี้ นอกจากตรวจสภาพรถจักรยานยนต์เพื่อต่อภาษีแล้ว เจ้าของรถจักรยานยนต์จำเป็นต้องซื้อ พ.ร.บ. คุ้มครองอุบัติเหตุอีกด้วย ซึ่งเป็นกฎหมายบังคับไว้ ถ้าหากไม่มี พ.ร.บ. ก็ไม่สามารถต่อทะเบียนประจำปีได้ ในส่วนราคาของ พ.ร.บ. จะขึ้นอยู่ตามขนาดเครื่องยนต์ ดังนี้
รถจักรยานยนต์ขนาดเครื่องยนต์ไม่เกิน 75 ซี.ซี. ราคาอยู่ที่ 161.57 บาท
รถจักรยานยนต์ขนาดเครื่องยนต์เกิน 75-125 ซี.ซี ราคาอยู่ที่ 323.14 บาท
รถจักรยานยนต์ขนาดเครื่องยนต์เกิน 125-150 ซี.ซี. ราคาอยู่ที่ 430.14 บาท
รถจักรยานยนต์ขนาดเครื่องยนต์เกิน 150 ซี.ซี. ขึ้นไป ราคาอยู่ที่ 645.21 บาท
รถจักรยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า ราคาอยู่ที่ 323.14 บาท
ตรวจสภาพรถ มีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่
แน่นอนว่าการตรวจสภาพรถประจำปีจะต้องมีค่าใช้จ่ายในการตรวจสภาพด้วย โดยราคาตรวจสภาพรถจะแบ่งออกได้ดังนี้
รถจักรยานยนต์ คันละ 60 บาท
รถยนต์ที่มีน้ำหนักรถเปล่าไม่เกิน 1,600 กิโลกรัม คันละ 150 บาท
รถยนต์ที่มีน้ำหนักรถเปล่าเกิน 1,600 กิโลกรัม คันละ 250 บาท
ถ้าหากตรวจสภาพแล้วไม่ผ่าน สามารถนำรถกลับไปแก้ไขให้ได้สภาพตามข้อกำหนด และนำกลับมาตรวจสอบที่เดิมได้ โดยจะเสียค่าใช้จ่ายเพียงครึ่งเดียวของอัตราที่กำหนดเอาไว้ แต่จะต้องนำกลับมาตรวจภายใน 15 วัน หากนำมาตรวจเกินเวลาที่กำหนดต้องชำระเต็มจำนวนอีกครั้งหนึ่ง
รถประเภทไหนที่ไม่สามารถเข้ารับการตรวจสภาพได้ ?
สำหรับรถที่จะไม่เข้าเกณฑ์ ไม่สามารถเข้ารับการตรวจสภาพรถประจำปีที่สถานตรวจสภาพรถเอกชน (ตรอ.) จะเป็นกลุ่มรถประเภทดัดแปลงสภาพผิดไปจากที่ได้จดทะเบียนไว้ เช่น เปลี่ยนชิ้นส่วนรถ เปลี่ยนสี เปลี่ยนเครื่องยนต์ จนไม่เหลือสภาพเค้าเดิม, ตัวเลขรหัสรถหรือรหัสเครื่องยนต์ชำรุด หรือมีร่องรอยการแก้ไข ขูด ลบ หรือลบเลือนจนไม่สามารถตรวจสอบได้, รถที่ไม่สามารถใช้งานได้ชั่วคราว หรือใช้งานไม่ได้ถาวร, รถที่มีเลขทะเบียนรุ่นเก่า (เช่น กท-00001, กทจ-0001 เป็นต้น), รถที่ถูกโจรกรรมแล้วได้คืน และรถที่ขาดต่อทะเบียนเกิน 1 ปี ซึ่งรถที่เข้าข่ายลักษณะนี้จะต้องนำไปตรวจที่กรมการขนส่งทางบกเท่านั้น
การตรวจสภาพรถเป็นสิ่งที่จำเป็นเมื่อเราจะต้องไปยื่นภาษีรถยนต์ประจำปี ทั้งในแบบไปยื่นด้วยตนเอง หรือจะยื่นต่อภาษีแบบออนไลน์ เพราะถือว่าเป็นข้อบังคับสำหรับรถที่มีอายุเกิน 7 ปี นอกจากจะช่วยให้รู้ว่ารถของท่านนั้นมีอะไรเสื่อมสภาพบ้าง เพื่อที่จะได้แก้ไขให้กลับมาสมบูรณ์พร้อมใช้อยู่เสมอแล้ว ยังช่วยรักษามูลค่าของรถสำหรับการขายต่อมือสองได้อีกด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก : กรมการขนส่งทางบก