คือการที่ผู้รับประกันภัยตกลงจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนหากเกิดความสูญเสียหรือเสียหายต่อทรัพย์สินที่ได้เอาประกันภัยไว้ ซึ่งความเสียหายนั้นสามารถประเมินมูลค่าหรือกำหนดเป็นวงเงินได้ เช่น บ้าน รถยนต์ โดยผู้เอาประกันภัยต้องชำระเบี้ยประกันภัย
การทำประกันวินาศภัยมีประโยชน์หลายประการ เช่น
ให้ความคุ้มครองต่อทรัพย์สิน
หากเกิดความเสียหาย ผู้เอาประกันภัยจะได้รับเงินชดใช้ค่าเสียหาย และนำไปจัดหาสินทรัพย์ใหม่ทดแทนได้
ช่วยให้เกิดความมั่นคงในการประกอบธุรกิจ
หากมีความเสียหายเกิดขึ้น ธุรกิจจะมีเงินที่ได้รับชดใช้จากบริษัทประกันภัยมาดำเนินงานต่อไปได้
ช่วยลดภาระแก่สังคมและรัฐบาลที่จะต้องเข้ามาช่วยเหลือ
หากเกิดความเสียหาย ผู้เอาประกันภัยจะได้รับเงินค่าสินไหมทดแทน ไม่ต้องประสบกับภาวะหมดเนื้อหมดตัว หรือขาดที่พึ่งพา
ช่วยระดมทุนเพื่อการพัฒนาประเทศ
เนื่องจากบริษัทประกันภัยจะมีการกันเงินสำรองส่วนหนึ่งเพื่อเตรียมไว้สำหรับภัยพิบัติอันอาจจะเกิดขึ้น และจะนำไปลงทุนในรูปของการซื้อพันธบัตรรัฐบาล หรือหุ้นกู้ ซึ่งเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศ
1. ความรู้เบื้องต้น
ผู้เกี่ยวข้องกับสัญญาประกันวินาศภัย
ผู้รับประกันภัย คือบริษัทประกันวินาศภัย ซึ่งหมายถึงบริษัทที่ได้รับใบอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้ประกอบธุรกิจประกันวินาศภัย เพื่อรับประกันต่อความเสียหายต่าง ๆ เช่น อัคคีภัย ภัยรถยนต์ ภัยทางทะเลและขนส่ง (ดูรายชื่อบริษัท)ผู้เอาประกันภัย คือบุคคลที่เป็นเจ้าของทรัพย์สินผู้รับผลประโยชน์ (อาจจะเป็นคนเดียวกับผู้เอาประกันภัยหรือไม่ก็ได้)
ประเภทของการประกันวินาศภัย ได้แก่
1. การประกันอัคคีภัย (Fire Insurance) แบ่งเป็น
1.1 การประกันอัคคีภัย
คือการประกันภัยที่คุ้มครองทรัพย์สินจากไฟไหม้ ฟ้าผ่า และการระเบิดของแก๊สที่ใช้หุงต้มหรือให้แสงสว่างเพื่อการอยู่อาศัย
1.2 การประกันอัคคีภัยและภัยพิบัติสำหรับที่อยู่อาศัย
คือการประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองไฟไหม้ ฟ้าผ่า ภัยระเบิด ภัยจากยวดยานพาหนะ ภัยจากอากาศยาน ภัยเนื่องจากน้ำ ภัยพิบัติ (น้ำท่วม ลมพายุ หรือแผ่นดินไหว) ซึ่งต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนด
2. การประกันภัยรถยนต์ (Motor Insurance) แบ่งเป็น
2.1 การประกันภัยรถภาคบังคับ
คือการประกันภัยรถประเภทที่กฎหมายให้เจ้าของรถซึ่งใช้หรือมีรถไว้เพื่อใช้ต้องจัดให้มีการประกันความเสียหายสำหรับผู้ประสบภัย เพื่อให้เกิดความคุ้มครองแก่ชีวิต ร่างกายของประชาชนที่ประสบภัยเป็นสำคัญ
2.2 การประกันภัยรถภาคสมัครใจ
คือการประกันความเสียหายอันเกิดจากการใช้รถยนต์ ซึ่งได้แก่ ความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่รถยนต์ ความเสียหายที่รถยนต์ได้ก่อให้เกิดขึ้นแก่ร่างกายและทรัพย์สินของบุคคลภายนอก รวมทั้งบุคคลที่โดยสารอยู่ในรถยนต์นั้น โดยแบ่งประเภทของความคุ้มครองดังนี้
(1) ความคุ้มครองความรับผิดต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัยของบุคคลภายนอกและผู้โดยสารในรถ (Third Party Bodily Injury : TPBI)
(2) ความคุ้มครองความรับผิดต่อทรัพย์สินบุคคลภายนอก (Third Party Property Damage : TPPD)
(3) ความคุ้มครองความรับผิดต่อความเสียหายของตัวรถยนต์ (Own Damage :
OD)
(4) ความคุ้มครองความรับผิดต่อความสูญหายและไฟไหม้ของตัวรถยนต์ (Fire and Theft : F& T)
ประเภทกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ จำแนกเป็น
1. กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ประเภท 1 (Comprehensive)
คุ้มครองครบทั้ง 4 ประเภทที่กล่าวข้างต้น
2. กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ประเภท 2 (Third Party, Fire and Theft)
คุ้มครองตามข้อ (1) (2) และ (4)
3.
กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ประเภท 3 (Third Party Liability Only)
คุ้มครองตามข้อ (1) และ (2)
3. การประกันภัยทางทะเล (Marine Insurance)
คือการประกันภัยที่คุ้มครองความสูญเสียหรือความเสียหายต่อเรือ ทรัพย์สินหรือสินค้าที่อยู่ในระหว่างการขนส่งทางทะเล และยังขยายขอบเขตความคุ้มครองไปถึงการขนส่งสินค้าทางอากาศและทางบกซึ่งต่อเนื่องกับการขนส่งทางทะเลด้วย แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ การประกันภัยตัวเรือ (Marine Hull Insurance) และ การประกันภัยสินค้า (Marine Cargo Insurance)
4. การประกันภัยเบ็ดเตล็ด (Miscellaneous Insurance)
คือการประกันภัยเพื่อคุ้มครองความเสียหายอันเกิดจากเหตุอื่นที่มิได้คาดหมายไว้ เช่น การประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (Personal Accident Insurance) การประกันภัยความรับผิดต่อบุคคลภายนอก(Liability Insurance) การประกันภัยเครื่องจักรชำรุดเสียหาย
2. หลักเกณฑ์ในการกำหนดค่าเบี้ยประกันภัย
การกำหนดค่าเบี้ยประกันภัยมีหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
1. ขนาดของความเสี่ยงภัย : หากทรัพย์สินที่เอาประกันภัยมีขนาดของความเสี่ยงภัยสูง ค่าเบี้ยประกันก็จะสูงตาม เช่น ในการประกันภัยอัคคีภัย จะแบ่งลำดับของความเสี่ยงภัยตามลักษณะและจำนวนชั้นของสิ่งปลูกสร้าง และยังคำนึงถึงสถานที่ตั้ง และลักษณะการใช้งานด้วย
2. ระยะเวลาที่คุ้มครอง : หากซื้อความคุ้มครองในระยะเวลาสั้นกว่าหนึ่งปี ค่าเบี้ยประกันภัยก็จะสูง เพราะไม่ได้มีการกระจายค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของบริษัทประกันแต่รวมกันไว้ในปีเดียวกันเลย
3. จำนวนเงินเอาประกันภัย : หากจำนวนเงินเอาประกันภัยสูง ค่าเบี้ยประกันภัยก็จะสูงด้วย
3. การบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัย (เป็นไปตามเงื่อนไขที่ระบุไว้กรมธรรม์ประกันภัย)
1. บริษัทประกันภัยเป็นผู้บอกเลิก ด้วยการส่งหนังสือบอกกล่าวล่วงหน้าทางไปรษณีย์ลงทะเบียนถึงผู้เอาประกันภัย ในกรณีนี้บริษัทจะคืนเบี้ยประกันภัยโดยหักเบี้ยประกันภัยสำหรับระยะเวลาที่กรมธรรม์ประกันภัยได้ใช้บังคับมาแล้วออกตามส่วน
2. ผู้เอาประกันภัยบอกเลิก โดยแจ้งให้บริษัททราบเป็นหนังสือ และมีสิทธิได้รับเบี้ยประกันภัยคืนหลังจากหักเบี้ยประกันภัยสำหรับระยะเวลาที่กรมธรรม์ประกันภัยได้ใช้บังคับมาแล้วตามอัตราเบี้ยประกันภัยระยะสั้นตามตารางที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย
4. วิธีการในการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
1. จ่ายเป็นตัวเงิน (Cash Payment) เป็นวิธีการที่ง่าย สะดวก และคล่องตัว
2. การซ่อมแซม (Repair) เหมาะในกรณีที่เกิดความเสียหายเพียงบางส่วนและสามารถที่จะซ่อมแซมให้กลับคืนสู่สภาพเดิมได้
3. การหาของมาทดแทน (Replacement) เป็นการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนที่จะต้องหาสิ่งที่เป็นชนิด ประเภท และคุณภาพเดียวกับทรัพย์สินที่เอาประกันภัยมาทดแทนให้
4. การกลับคืนสู่สภาพเดิม (Reinstatement) เป็นการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนด้วยการทำให้ทรัพย์สินที่เอาประกันภัยไว้กลับคืนสู่สภาพเดิมเหมือนเมื่อก่อนเกิดวินาศภัย ซึ่งไม่สามารถกระทำได้โดยวิธีซ่อมแซมหรือหาของแทน เช่น โรงงานถูกเพลิงไหม้ทั้งหมด ผู้รับประภันภัยจะก่อสร้างโรงงานนั้นขึ้นใหม่