ทุกคนเคยท้องเสียครับ หลายท่านที่มีอาการท้องเสียตัดสินใจมาพบแพทย์ ทำให้แพทย์ได้รับรู้ข้อสงสัยหลายๆอย่างที่มักจะคล้ายกัน อาทิเช่น ท้องเสียสามารถกินนมได้ไหมหรือควรเลี่ยงอาหารชนิดใดบ้าง ท้องเสียต้องทานยาฆ่าเชื้อหรือไม่(บางท่านมีความเชื่อว่ายาฆ่าเชื้อทำให้หายไวขึ้น) เป็นต้น บทความนี้จะตอบคำถามข้างต้นให้กับทุกท่านครับ
ขั้นแรกมาทำความรู้จักกับโรคท้องเสียกันก่อน
สาเหตุ? อาการท้องเสียพบได้ในคนทุกเพศทุกวัย แต่ความรุนแรงของอาการจะขึ้นกับหลายปัจจัย เช่น อายุ โรคประจำตัวและอื่น ๆ สาเหตุส่วนมากในผู้ใหญ่เกิดจากการรับประทานอาหารหรือใช้ภาชนะที่ปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรีย และบางส่วนเกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรียเอง ในส่วนน้อยเท่านั้นที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส หรือพยาธิอื่น ๆ ส่วนสาเหตุในเด็กก็คล้ายกันกล่าวคือ เกิดจากการดูดขวดนมที่ล้างไม่สะอาดหรือดูดอมสิ่งของสกปรกต่าง ๆ
อาการที่ต้องพึงสังเกตุ? ลักษณะของอุจจาระเป็นสิ่งสำคัญที่ควรสังเกตุ ประกอบด้วย สี(เหลือง แดง ดำ) เนื้ออุจจาระ(น้ำ มูก มันลอย) และสิ่งปนเปื้อนอื่น ๆ อาการร่วมที่พบได้บ่อย ได้แก่ อาการปวดท้องบีบสลับคลายทั่วท้อง คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร และไข้
การรักษาในเบื้องต้น? ควรทานเกลือแร่(Oral Rehydration Salt/ORS) เพื่อชดเชยปริมาณน้ำและเกลือแร่ที่สูญเสียไป ทานอาหารย่อยง่าย เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม งดการดื่มนม/ผลิตภัณฑ์จากนม หรืออาหารกากไยอื่น ๆ และการทานยาบรรเทาอาการเช่น ยาแก้คลื่นไส้(เช่น Domperidone) ยาคลายการบีบตัวของลำไส้/ยาแก้ปวดท้อง(เช่น Buscopan หรือ Loperamide) หรือพาราเซตามอลลดไข้ เป็นต้น ซึ่งยาดังกล่าวสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป ดังนั้นการไปพบแพทย์อาจเป็นเรื่องไม่จำเป็น
โดยปกติแล้วร่างกายเราสามารถขับถ่ายเชื้อก่อโรคหรือสารพิษต่าง ๆ ออกไปได้เองทางอุจจาระในเวลา 2-3 วัน ทำให้ไม่มีความจำเป็นต้องทานยาฆ่าเชื้อแต่อย่างใด นอกจากนี้การทานยาฆ่าเชื้ออาจทำให้เกิดการแพ้ยารุนแรงหรือการดื้อยาที่จะทำให้การรักษายากขึ้นในอนาคตได้ อย่างไรก็ตามหากมีอาการไข้สูง ปวดท้องรุนแรง ถ่ายอุจจาระเป็นมูกหรือเลือด อาจจำเป็นต้องทานยาฆ่าเชื้อและควรไปพบแพทย์
การทานยาบรรเทาอาการปวดท้อง(Buscopan Loperamide) ข้างต้นควรทานเมื่อมีความจำเป็นเท่านั้น เช่น โดยสารรถทางไกลหรืออยู่ในสถานที่เข้าถึงสุขาได้ลำบาก เป็นต้น เนื่องจากยาทำให้ลำไส้เคลื่อนไหวช้าลง เชื้อก่อโรคจึงไม่สามารถถูกขับออกจากร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ และหากมีอาการปวดท้องรุนแรงก็ควรไปพบแพทย์มากกว่าทานยาดูอาการ
การป้องกัน? ทำได้โดยการรับประทานอาหารที่ปรุงสุกและน้ำดื่มสะอาด ส่วนในเด็กป้องกันได้ด้วยการดื่มนมแม่ ต้มหรือนึ่งขวดนมและจุกนมก่อนใช้ทุกครั้ง วัคซีนป้องกันประกอบด้วยวัคซีนโรต้าในเด็กเล็ก และวัคซีนทัยฟอยด์สำหรับผู้ที่จะเดินทางไปยังประเทศที่มีการระบาด เช่น อินเดีย อินโดนีเซีย เวียดนาม
Tips ORS สามารถทำเองได้ง่ายๆโดยการผสมเกลือ ½ ช้อนชา น้ำตาล 6 ช้อนชาเข้ากับน้ำดื่มสะอาด 1 ลิตร
Previous post
Heat Strokeพฤษภาคม 27, 2019
Skip to content
- รู้จักเรา
- บริการผู้ป่วย
- บริการทางการแพทย์
- แพ็กเกจและโปรแกรม
- บทความสุขภาพ
- ข่าวสารและบริการ
เจ็บแต่จบในหนึ่งชั่วโมง “จี้ไฟฟ้าหัวใจ” หยุดปัญหาหัวใจเต้นผิดจังหวะด้วยประสบการณ์ของ นพ.ปริวัตร เพ็งแก้วอ่านต่อ
หมดกังวลเรื่องการผ่าตัดซ่อมลิ้นหัวใจแค่มาเจอ นพ.ทวีศักดิ์ โชติวัฒนพงษ์อ่านต่อ
เลเซอร์ริดสีดวงพักฟื้น 1 คืน ไม่เจ็บอย่างที่คิดอ่านต่อ
ผอมเพรียวด้วยบอลลูนลดน้ำหนัก 8 เดือน ลง 35 กิโลกรัมอ่านต่อ
INTERNATIONAL REFERRAL CENTER (-RAA)อ่านต่อ
โปรแกรมตรวจสุขภาพหลังติดโควิดอ่านต่อ
สิทธิพิเศษสำหรับผู้ถือบัตรเครดิตไทยพาณิชย์เบาใจไม่ต้องจ่ายเยอะ แลก Point 10%* รับเงินคืนสบายอ่านต่อ
โปรแกรมตรวจสุขภาพประจำปี 2565-2566 ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)อ่านต่อ
การผ่าตัดกระดูกสันหลังคดมีวิธีการอย่างไรอ่านต่อ
Precision Cancer Medicine วิเคราะห์เซลล์มะเร็งเพื่อค้นหาสาเหตุที่แท้จริง และการรักษาที่ตรงจุดอ่านต่อ
วิธีการรักษาเอ็นหมุนหัวไหล่ฉีกอ่านต่อ
รู้จักมะเร็งตับอ่อน ก่อนที่จะสายเกินไปอ่านต่อ
โรงพยาบาลเวชธานีขอประกาศปิดการลงทะเบียนเข้ารับการฉีดวัคซีน Modernaอ่านต่อ
ดร. นพ. ตุลวรรธน์ พัชราภา COO นพ. เทิดศักดิ์ เชิดชู CMO นพ. อิศรา อนงค์จรรยา QD และทีมงาน โรงพยาบาลเวชธานีให้การต้อนรับคณะผู้บริหารจากหลักสูตร DigitalCEO รุ่นที่5อ่านต่อ
จุดบริการโรงพยาบาลเวชธานี ที่สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ พร้อมเปิดให้บริการแล้ววันนี้อ่านต่อ
โรงพยาบาลเวชธานีร่วมกับสภากาชาดไทยอ่านต่อ
“ลำไส้แปรปรวน” โรคร้ายทำลายคุณภาพชีวิต
ท้องอืด แน่นท้อง ปวดท้องเป็นๆ หายๆ ขับถ่ายไม่เป็นปกติ เดี๋ยวก็ท้องผูก เดี๋ยวก็ท้องเสีย
เฮ้อ.. ! จะเป็นอย่างนี้ไปอีกนานไหม?
อาการข้างต้น เข้าข่ายโรคที่เรียกว่า โรคลำไส้แปรปรวน (Irritable Bowel Syndrome : IBS) เป็นโรคของลำไส้ที่ทำงานผิดปกติ แต่พอตรวจดูกลับไม่พบความผิดปกติใดๆ ที่ลำไส้ ไม่ว่าจะทำการส่องกล้องตรวจลำไส้ หรือตรวจเลือดผิดปกติ เป็นต้น
โรคนี้เป็นโรคที่พบบ่อยโรคหนึ่งในระบบทางเดินอาหาร ผู้ป่วยโดยทั่วไปที่เป็นโรคนี้มักจะมีประวัติเป็นมานาน บางรายอาจมีอาการเป็นปีและมีอาการเป็น ๆ หาย ๆ เป็นโรคที่สร้างความรำคาญ และความทุกข์ทรมานให้แก่ผู้ป่วย ผู้ป่วยจะวิตกกังวลว่าทำไมโรคไม่หายแม้ได้ยารักษา ทำให้มีผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย รบกวนการดำเนินชีวิตและอาจทำให้ทำงานได้ไม่เต็มที่ และพบว่าโรคลำไส้แปรปรวนมักเกิดกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ในอัตราส่วนเพศหญิงต่อเพศชายประมาณ 2 : 1
ผู้ป่วยที่เป็นโรคลำไส้แปรปรวน มักจะมีอาการปวดท้อง อาจปวดตรงกลางหรือปวดบริเวณท้องน้อย โดยทั่วไปจะปวดท้องน้อยด้านซ้ายมากกว่าด้านขวา ลักษณะอาการปวดมักจะปวดแบบเกร็ง มีอาการแน่นท้อง ท้องอืด อาการจะไม่สัมพันธ์กับอาหาร นอกจากนี้จะมีอาการท้องโตขึ้นเหมือนมีลมในท้อง อาจมีอาการเรอหรือผายลมมากขึ้น และมีอาการถ่ายไม่ปกติ บางรายมีอาการท้องผูก บางรายท้องเสีย หรือในบางรายอาจมีอาการท้องผูกสลับท้องเสียก็ได้ ผู้ป่วยบางรายอาจมีความรู้สึกเหมือนถ่ายไม่สุด หรือมีอาการปวดเบ่งแต่เมื่อถ่ายอุจจาระแล้วอาการดีขึ้น มักมีอุจจาระเป็นมูกร่วมด้วยได้ อาการต่างๆ เหล่านี้จะเป็นๆ หายๆ มีอาการมากน้อยสลับกันได้ จะมีอาการเกิน 3 เดือน ในระยะเวลา 1 ปี
ปัจจุบันยังไม่พบสาเหตุที่แน่นอนของโรคลำไส้แปรปรวน แต่จากการศึกษาพบว่า ปัจจัยที่เป็นสาเหตุของโรคนี้ มี 3 อย่างที่สำคัญได้แก่
- การบีบตัวของลำไส้ผิดปกติ เป็นผลมาจากการหลั่งสารหรือฮอร์โมนที่ผิดปกติบางอย่างในผนังลำไส้ ทำให้เกิดอาการปวดท้อง ท้องผูก หรือท้องเสียได้
- ระบบประสาทที่ผนังลำไส้ไวต่อสิ่งเร้าหรือตัวกระตุ้นมากผิดปกติ ตัวกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการได้แก่ อาหารเผ็ด กาแฟ แอลกอฮอล์ทุกชนิด ช็อกโกแลต เป็นต้น รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ ได้แก่ ความเครียด ความวิตกกังวล เมื่อมีสิ่งเร้ามากระตุ้นก็ทำให้ผนังลำไส้บีบตัวผิดปกติ ทำให้เกิดอาการปวดท้อง ท้องผูก หรือท้องเสียได้
- มีความผิดปกติในการควบคุมการทำงานของลำไส้ ระหว่างประสาทรับความรู้สึกที่ผนังลำไส้ ระบบกล้ามเนื้อของลำไส้และสมอง โดยเกิดจากความผิดปกติของสารที่ควบคุมการทำงานของลำไส้ ซึ่งมีอยู่หลายชนิด
ปัจจุบันยังไม่มียาชนิดใดที่สามารถรักษาโรคนี้ให้หายขาดได้ เนื่องจากผู้ป่วยโรคนี้มักจะมีอาการหลายอย่างร่วมกัน ยาที่ใช้มักจะทำให้อาการบางอย่างดีขึ้นเท่านั้น การรักษาด้วยยา แพทย์จะเป็นผู้พิจารณาในการให้ยาที่เหมาะสมกับอาการของผู้ป่วย แต่การปฏิบัติตัวของผู้ป่วยจะช่วยให้อาการของโรคนี้ดีขึ้นได้
ดังนั้น เพื่อให้ผู้ป่วยโรคลำไส้แปรปรวนมีอาการดีขึ้นควรปฏิบัติตามคำแนะนำดังนี้ คือ
- ควรรับประทานอาหารช้าๆ และไม่ควรรับประทานมากจนเกินไป
- หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมัน เนื่องจากไขมันจะเป็นตัวกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ หากผู้ป่วยมีอาการท้องผูกร่วมด้วย ควรเพิ่มการรับประทานอาหารที่มีใยอาหารให้มากขึ้น
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ และ ฝึกนิสัยการขับถ่ายให้เป็นเวลา
- ควรหลีกเลี่ยงการดื่มนมในผู้ป่วยโรคลำไส้แปรปรวนชนิดท้องเสีย
- หลีกเลี่ยงอาหารที่อาจทำให้อาการของโรคเป็นมากขึ้น อาทิ กาแฟ อาหารหวานจัด ผลไม้รสเปรี้ยวบางชนิด อาหารรสเผ็ด เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด และน้ำอัดลม เป็นต้น และหากผู้ป่วยมีภาวะเครียดร่วมด้วย ควรหาทางผ่อนคลาย หาเวลาพักผ่อนให้เพียงพอ
- ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อาจจำเป็นต้องพบจิตแพทย์ในบางรายที่มีปัญหาทางจิตใจค่อนข้างมาก
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
ศูนย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ
โทรศัพท์ 0-2734-0000
- Readers Rating
- Rated 3.4 stars
3.4 / 5(71 Reviewers) - Very Good
- Your Rating
โทรหาเรา
(+66)8-522 38888
Please select your language